โดยยอดขายที่ลดลงส่วนใหญ่เป็นผลมาจากยอดขายในประเทศที่ลดลงถึง 20% เนื่องจากปัญหาใบรับรองรถยนต์ที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ Toyota ต้องหยุดการผลิตรถยนต์รุ่นยอดนิยมอย่าง Prius, Yaris Cross และ Corolla Fielder

ส่วนยอดขายในต่างประเทศก็ลดลงด้วยเช่นกันในตลาดสำคัญ ๆ เช่น จีน (-6.9%) อินโดนีเซีย (-9.5%) และไทย (-17.1%) ซึ่ง Toyota เผยว่าผลกระทบที่ทำให้ยอดขายรวมลดลงคือ การเปลี่ยนไปใช้ยานยนต์พลังงานใหม่ และการแข่งขันด้านราคาที่เข้มข้นขึ้น
ในฝั่งของรถยนต์ไฮบริด ถึงแม้ว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 40% ในปี 2024 แต่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าล้วนของ Toyota ยังคงตามหลังแบรนด์อื่น ๆ โดยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ารวมแบรนด์ Toyota และ Lexus ทำได้เพียง 139,892 คัน คิดเป็น 1.4% ของยอดขายทั้งหมด
ด้าน Volkswagen ที่มียอดขายรถยนต์สูงสุดเป็นอันดับสอง ก็มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าลดลงด้วยเช่นกัน ขายรถยนต์ไฟฟ้าได้เกือบ 745,000 คัน หรือคิดเป็น 8% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำ และยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าลดลง 3.4% จากปี 2023 ที่ส่งมอบได้ 771,100 คัน
ในขณะที่ผู้นำด้านยานยนต์ระดับโลกทั้งสองแบรนด์ยังคงตามหลังด้านการเปลี่ยนผ่านมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า ฝั่งของผู้ผลิตอื่น ๆ อย่าง BYD และ Hyundai กลับมียอดขายที่เพิ่มขึ้น

ในปี 2024 BYD ขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลได้มากกว่า Nissan และ Honda เป็นครั้งแรก ด้วยอดขายกว่า 4.25 ล้านคัน เพิ่มขึ้นถึง 41% จากยอดขายประมาณ 3 ล้านคันในปี 2023 ทำยอดขายแซงหน้า Volkswagen และขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของจีน และตอนนี้ก็กำลังจะไต่ขึ้นไปในระดับโลก
ทางด้านของ Hyundai Motor Group ผู้ผลิตรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก มียอดขายมากกว่า 7.2 ล้านคันในปี 2024 แม้ว่ายอดขายจะลดลง 1% จากปี 2023 แต่ก็สามารถไล่ตาม Toyota และ Volkswagen ทัน โดยแบรนด์ Hyundai และ Kia ทำยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าได้มากกว่า 200,000 คันทั่วโลกในปีที่แล้ว

ปัจจุบัน Hyundai และ Kia กำลังเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่หลายรุ่น เช่น IONIQ 9, Kia EV3 และ Hyundai Inster SUV ราคาประหยัด เพื่อตีตลาดรถยนต์ไฟฟ้าต่อไปในปีนี้
BYD เชื่อว่าจะสามารถทำกำไรได้มากกว่า Toyota และมีแนวโน้มว่าจะเป็นจริง?
หลังจากทำสถิติยอดขายสูงสุดในปี 2024 ทาง BYD มองว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น โดยเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา แบรนด์เปิดเผยว่ามีรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 777.1 พันล้านหยวน (ประมาณ 3.87 ล้านล้านบาท) หรือ 107 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.93 ล้านล้านบาท) ในปี 2024

แม้จะขายรถยนต์ไฟฟ้าราคาย่อมเยา อย่าง Seagull ที่มีราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 69,800 หยวน (ประมาณ 360,000 บาท) ที่จีน แต่ BYD ก็ยังสามารถทำกำไรได้
หวัง ฉวนฝู (Wang Chuanfu) CEO มั่นใจว่าหาก BYD สามารถผลิตรถยนต์ได้เท่ากับ Toyota จะสามารถทำกำไรต่อคันได้มากขึ้น หวังกล่าวกับนักวิเคราะห์ (อ้างอิงจาก Reuters) ว่า BYD มีการควบคุมต้นทุนที่ดีกว่า และเมื่อยอดขายเติบโตขึ้นจะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน

ภาพไลน์อัพรถยนต์ไฟฟ้าใหม่จาก BYD
ในปี 2024 Toyota ยังคงเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดของโลก โดยมียอดขาย 10.8 ล้านคัน ในขณะที่ BYD จำหน่ายรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ประกอบไปด้วยรถ EV และ PHEV ไปได้เพียง 4.27 ล้านคัน
BYD ได้หยุดผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ตั้งแต่ปี 2022 เพื่อมุ่งเน้นที่ รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กลยุทธ์นี้ให้ผลลัพธ์ที่ดี ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้น 41% ในปี 2024 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ขยายตลาดทั่วโลก พร้อมเพิ่มยอดขายต่างประเทศ
ความมั่นใจของหวัง ฉวนฝู มาจากการที่แบรนด์กำลังขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเขาบอกกับนักวิเคราะห์ว่า BYD ตั้งเป้าจำหน่ายรถยนต์ในตลาดต่างประเทศมากกว่า 800,000 คันในปี 2025 เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าจาก 417,204 คัน ที่ขายได้ในปี 2024

BYD มองเห็น “โอกาสเติบโตอย่างมาก” ในแถบละตินอเมริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเปิดกว้างต่อแบรนด์รถยนต์จีนมากขึ้น นอกจากนี้ BYD ยังคาดว่าจะมี “ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” อีกทั้งในสหราชอาณาจักร ก็เช่นกัน
หวังกล่าวว่า BYD จะสามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้นโดย ตั้งโรงงานประกอบในต่างประเทศ ขณะที่ยังคงนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญจากจีน เขายังกล่าวอีกว่า “เมื่อถึงจุดหนึ่ง” กำไรส่วนใหญ่ของ BYD จะมาจากยอดขายต่างประเทศ แต่ไม่ได้ระบุช่วงเวลาที่แน่นอน
BYD เป็นผู้นำในตลาด EV หลายประเทศแล้ว
ปัจจุบัน BYD เป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำในหลายประเทศ เช่น ไทย บราซิล ออสเตรเลีย เม็กซิโก และอีกหลายพื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

หลังจากเปิดโรงงานผลิตในไทย เมื่อปีที่แล้ว BYD กำลังสร้างโรงงานเพิ่มเติมใน บราซิล ฮังการี ตุรกี และอินโดนีเซีย และยังมีแผน เปิดโรงงานแห่งที่ 3 ในยุโรป ซึ่งอาจอยู่ที่เยอรมนี
แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะรู้จัก BYD ในฐานะผู้ผลิตรถ EV ราคาเข้าถึงได้ง่าย อย่าง Seagull (ยังไม่เข้าบ้านเรา) แต่แบรนด์ก็กำลังขยายไลน์อัปด้วยแบรนด์รถยนต์หรู รถ SUV อัจฉริยะ และซูเปอร์คาร์ไฟฟ้า ด้วยแบรนด์ Denza, Fang Cheng Bao และ Yangwang ครับ
นอกจากนี้ BYD ยังเร่งพัฒนา เทคโนโลยีแบตเตอรี่ ระบบขับขี่อัจฉริยะ เครื่องชาร์จความเร็วสูงพิเศษ และนวัตกรรมอื่น ๆ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าครับ