รีวิวหนังดี 294 – P2

Ford

รุ่น Raptor Diesel ดุดันด้วยห้องโดยสารโดยใช้เบาะที่นั่งแบบสปอร์ตคู่หน้า มอบทั้งความสบายและกระชับแม้รถวิ่งด้วยความเร็วบนทางโค้งตกแต่งด้วยโทนสีส้ม Code Orange บนแผงหน้าปัด การตัดขอบชิ้นส่วนหลักๆในห้องโดยสาร รวมถึงบนเบาะที่นั่งแบบสปอร์ต โดดเด่นยิ่งขึ้นอีกเมื่อเปิดไฟส่องสว่างสีอำพันอบอุ่นภายในห้องโดยสาร เสริมความหรูหราอีกขั้นด้วยพวงมาลัยหนังเกรดพรีเมียมจับกระชับมือพร้อมแถบบอกตำแหน่งองศาพวงมาลัยหรือ On-centre mark กับแป้น Paddle Shift เคลือบแมกนีเซียมโดยตัดฟังก์ชันการทำงานของพวงมาลัยทั้งไม่มี โหมด Sport และ My Mode

Ford

ระบบไฟฟ้ามาครบ​ด้วยมาตรวัดดิจิทัลความชัดเจนสูงขนาด 12.4 นิ้ว จอแบบสัมผัสตรงกลางขนาด 12 นิ้ว แสดงผลการเชื่อมต่อและระบบความบันเทิงผ่านระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A®  รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS และ Android มอบประสบการณ์เสียงเหนือระดับระหว่างการผจญภัยครั้งใหม่ และระบบ Ford Pass แท่นชาร์จไร้สาย แต่เป็นลำโพงปกติให้ครบ 6 จุด

Engine & Transmission

Ford

กระบะ 2 คน 2 คมเด่นด้วยขุมพลังที่ให้ทั้งสมรรถนะความเร็วและแรงแบบหาตัวจับยากเริ่มที่รุ่น WILDTRAK V6 กับขุมพลังดีเซล V6 เทอร์โบเดี่ยว ในรหัส BF2S ขนาด 3.0 ลิตร Power Stroke ที่ให้กำลังมากถึง 250 แรงม้าที่ 3,250 รอบต่อนาที แรงบิด 600 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,250 รอบต่อนาที ปรับสเปกเพื่อให้สามารถเข้าเกณฑ์ผ่านมาตรฐานไอเสียของไทยหรือ EURO 5 ส่งผลให้การปล่อยไอเสีย CO2 ทำได้เพียง 221 กรัมต่อกิโลเมตร ส่วน Ranger Raptor Diesel เป็น ดีเซลเทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร 4 สูบ รหัส​ใหม่ YN2R รองรับ EURO5 ต้องเติมน้ำยาบำบัดไอเสียดีเซล (DEF) หรือ AdBlue  ให้กำลัง 210 แรงม้าที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที ส่งผลให้การปล่อยไอเสีย CO2 ทำได้เพียง 278 กรัมต่อกิโลเมตร

Ford

ทั้ง 2 รุ่น จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด รุ่น 10R80 e-Shifter พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full Time 4WD แบบ e-Shifter (2H,4H,4L และ 4A) ที่มาพร้อมเกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ (On-Demand Two-Speed Electromechanical transfer case–EMTC) ในรุ่น WLIDTRAK V6 มีโหมดการขับขี่ Terrain Management System ลุยทุกสภาพพื้นผิวด้วย 6 โหมดทั้ง โหมดปกติ Normal (ใช้ได้ทั้ง 2H,4H,4L), โหมดประหยัด Eco (ใช้ได้ทั้ง 2H,4H,4L), โหมดลากจูงและบรรทุก Tow/Haul (ใช้ได้ทั้ง 2H,4H,4L), โหมดทางลื่น Slippery (ใช้เฉพาะ 4H), โหมดทราย Sand (ใช้ได้ทั้ง 4H,4L), โหมดโคลน Mud/Ruts (ใช้ได้ทั้ง 4H,4L)

Ford

ส่วน Raptor Diesel มีโหมดการขับขี่ Terrain Management System 7 โหมดทั้งโหมดทางเรียบ 3 โหมดทั้งโหมด Normal (ใช้ได้ทั้ง 2H,4H,4L), โหมด Sport (ใช้ได้เฉพาะ 4A) โหมดทางลื่น Slippery (ใช้เฉพาะ 4H) (โหมดใหม่แทนโหมด Snow/Gravel/Gravel), โหมดโคลนและร่อง Mud/Ruts (ใช้ได้ทั้ง 4H,4L), โหมดทราย Sand (ใช้ได้ทั้ง 4H,4L) ,โหมดไต่โขดหิน Rock Crawl (ใช้ได้เฉพาะ 4L) และโหมดบาฮา Baja ทั้ง 2 มีระบบดิฟล็อกไฟฟ้าด้านหลัง locking differentials

Handling & Ride

Ford

ภาพจำในอดีตของเครื่อง 3.2 ลิตร 5 สูบ ที่ให้เอกลักษณ์ในเรื่องความสุขุมแบบผู้ดีไม่คำรามโวยวายเสียงดัง การสั่นสะเทือนของเครื่องที่นิ่งเงียบสนิทได้กลับมาจุติในเครื่องใหม่ตระกูล Lion V6 3.0 แม้จะใช้กันมากว่า 10 ปีในแบรนด์ตัวเองเช่น Ford Territory และ Land Rover อย่าง Discovery 3  มาปรับพัฒนาใหม่ให้สมความเป็น Ford ด้วยความแรงความเร้าใจตามประสาดีเซล ส่งผลให้รอบการทำงานเครื่องยนต์ ช่วงความเร็ว 90-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำผลงานไม่ถึง 2,000 รอบต่อนาที มาแบบเร็วติดปีกและต่อเนื่องตั้งแต่ 1,300, 1,500, 1,700 และ 1,900 รอบต่อนาทีตามลำดับทางด้านอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงวัดจากเครื่องมือเฉพาะทำได้ 9.5 วินาที

เสียงเครื่องยนต์เงียบขึ้นกว่ารุ่นเทอร์โบคู่ของ WILDTRAK ความสั่นสะเทือนของเครื่องน้อยมากทำงานราบเรียบกว่าการเก็บเสียงที่หนาขึ้นเงียบขึ้นกว่าโดย Ford ตั้งใจออกแบบวัสดุดูดซับเสียงให้หนาขึ้นช่วยให้การขับขี่นั้นสนุดอภิรมย์มากขึ้น เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด เซตระบบมาทำงานได้ราบรื่นสมูทและยังมีโหมดบวก/ลบ ไว้ในยามเร่งแซงความประหยัดน้ำมันทำได้ 11.7 กิโลเมตรต่อลิตร ใกล้เคียงกับรุ่น WILDTRAK เทอร์โบคู่ทำได้ 10.11 กิโลเมตรต่อลิตร ลุยน้ำได้สูงสุดถึง 800 มิลลิเมตร มีความสามารถในการลากจูงถึง 3,500 กิโลกรัม

ตัวรถขนาดพอดีไม่ใหญ่โตเท่า Raptor จึงขับขี่สะดวกกว่าด้านช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้นพร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง (Double wishbone with coil spring and anti-roll bar) ด้านหลังเป็นแบบแหนบแผ่นซ้อน 5 แผ่น (Leaf Springs) ใส่โช้กอัพหน้าหลังแบบโมโนทูปมาให้ (Monotube Shock Absorber) เน้นหนึบนำนุ่มตามไม่โคลง พอมีโช้กอัพโมโนทูปสี่ต้นเข้ามายิ่งทำให้หนึบขึ้นนุ่มนวล พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPAS น้ำหนักดีไม่ว่าจะทางเรียบ ทางลุยมั่นใจควบคุมโค้งจิกเนียนๆ รวมถึงระบบห้ามล้อเป็นดิสก์เบรกสี่ล้อน้ำหนักการเหยียบเบรกจะหนักไปแต่ก็หยุดได้ฉับไวเมื่อเหยียบไป 25%

ส่วนรุ่น Raptor Diesel โลดแล่นอย่างฉกาจฉกรรจ์ ทรงพลัง เร่งแซงฉับไวบนถนนทางยาวๆ ขึ้นเขาสูงหรือทางโหด มีอุปสรรค กำลังมาต่อเนื่องไม่ขาดตอน ตอนออกตัวจะสุขุมไม่กระโชกโฮกฮากกับพลังเทอร์โบคู่ที่แบ่งการทำงานโดย เทอร์โบ 1 ลูกจะเป็นแบบ High Pressure ทำงานที่รอบต่ำ อีกลูกเป็น Low Pressure จะทำงานที่รอบสูง โดยเมื่อเครื่องยนต์อยู่ในรอบต่ำ ทั้ง 2 ลูกจะเริ่มทำงานพร้อม ๆ กัน โดยที่ตัวเล็กจะหมุนเยอะหน่อย แต่เมื่อถึงรอบสูง ตัวเล็กจะถูก Bypass ออกให้หยุดทำงาน แล้วใช้แรงอัดอากาศจากลูกใหญ่เข้าไปที่เครื่องยนต์เท่านั้น

ด้านอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงวัดจากเครื่องมือเฉพาะทำได้ 12.5 วินาทีเรียกว่ามากกว่า Raptor เจนที่แล้วที่ทำได้ 11.69 วินาที เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดราบรื่นไม่มีแผ่วไม่ยอมให้ม้าตกหล่นและไม่กระโดดไปมาเรียงตามลำดับจนเกิดความสับสนว่าเข้าเกียร์ไหน พร้อม Paddle Shift หลังพวงมาลัยสร้างความมันส์เร้าใจในการขับขี่ ช่วงความเร็ว 90-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง.ทำผลงานไม่ถึง 2,000 รอบต่อนาที ตั้งแต่ 1,400, 1,600, 1,800 และ 1,900 รอบต่อนาที ตามลำดับด้านความประหยัดน้ำมันทำได้ 10.73 กิโลเมตรต่อลิตร ใกล้เคียงกับเจนที่แล้ว 10.76 กิโลเมตรต่อลิตร ความสามารถในการลากจูง 2,500 กิโลกรัม และความสามารถในการลุยน้ำ 850 มิลลิเมตร

Ford

ช่วงล่างใช้โช้กอัพของ FOX แบบ Internal Bypass สีส้ม 4 ต้นแต่ไม่สามารถปรับระดับโช้คอัพถึง 4 ระดับ บนพื้นฐานช่วงล่างวัตต์ลิงก์ (ในรุ่นเบนซิน V6 เป็น Live Valve Internal Bypass ขนาด 2.5 นิ้ว) ทำให้เจ้ายักษ์โลดโผนโจนทะยานได้อย่างมั่นใจทั้งทางตรงและทางโค้งที่ความเร็วสูงได้อย่างมั่นใจ ความนุ่มนวลที่มีมากกว่ากระบะทั่วไปตอบสนองที่ดีทั้งบนถนนดำและทางฝุ่น เช่นเดียวกับพวงมาลัยไฟฟ้าที่คมและแม่นยำทำให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจ ยิ่งเวลาซัดบนทางฝุ่นจนมีอาการลื่นไถลเมื่อสาดโค้งบนหินกรวดจนมีอาการท้ายออกเล็กน้อยก็สามารถแก้ได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้นระบบควบคุมเสถียรภาพที่มีให้มาก็ไม่ยอมปล่อยให้รถเสียอาการมากจนเกินไป เรียกได้ว่ามีจังหวะให้รู้สึกสนุกตื่นเต้นแต่ไม่ปล่อยให้เกินเลยจนเกิดอันตรายและเบาะนั่งทรงสปอร์ตโอบกระชับกว่ารุ่น WILDTRAK โอบกระชับทุกโค้งทุกเส้นทาง

ดิสก์เบรกสี่ล้อน้ำหนักการเหยียบเบรกจะหนักไปแต่ก็หยุดได้ค่อนข้างลึกแต่ก็หยุดฉับไวเมื่อเหยียบไป 30 % และยิ่งเป็นดิสก์สี่ล้อตามปกตินิสัยของมันต้องกะระยะรถคันหน้าดีๆ น่าเสียดายที่ว่ารุ่นดีเซล Raptor ไม่มีความเร้าใจตรงที่ระบบท่อไอเสียควบคุมไฟฟ้าพร้อมโหมดปรับเสียงให้เลือกได้ถึง 4 โหมด Active Vale Exhaust (Quiet, Normal, Sport และ Baja) แต่ยังดีที่ตอนลุยังมี ควบคุมความเร็วสำหรับการขับขี่ออฟโรด (Trail Control™) ทำหน้าที่เสมือนระบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติสำหรับการขับขี่ออฟโรด คล้ายกับ Cruise Control

Safety & Feature

Ford

แม้ Ford Ranger WILDTRAK V6 และ Ford Ranger Raptor Diesel จะไม่มีระบบช่วยจอด Active Park Assist แต่ให้ความปลอดภัยคล้ายๆกันทั้ง

  • ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติพร้อม Stop&Go และควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Adaptive Cruise Control with Stop-and-Go and Lane Centering
  • เปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ Auto High-Beam
  • ช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน Automatic Emergency Braking with Pedestrian Detection
  • เตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning with Brake Support
  • ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Lane Keeping System
  • ช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน  Lane Departure Warning
  • ตรวจจับรถในจุดบอดและตรวจจับขณะออกจากช่องจอด Blind Spot Information System with Cross-Traffic Alert and Braking
  • กล้องมองรอบคัน 360 องศา
  • ป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง Reverse Brake Assist
  • ช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ Evasive Steer Assist