• Movie 187
  • Movie 66
  • Sample Page
  • รีวิวหนังดี 294 – P1
  • รีวิวหนังดี 294 – P2
  • รีวิวหนังดี 294 – P3
reviewfilm.dailync91news.live
No Result
View All Result
No Result
View All Result
reviewfilm.dailync91news.live
No Result
View All Result

N2005009_เธอแอบตามเขาไป…แต่สิ่งที่เห็น ทำให้หัวใจแทบสลาย_part2

admin79 by admin79
May 15, 2025
in Uncategorized
0
N2005009_เธอแอบตามเขาไป…แต่สิ่งที่เห็น ทำให้หัวใจแทบสลาย_part2

หน้าปัด 12.3 นิ้ว ขนาดน่ะเท่าเดิม แต่ผลพลอยได้จากการอัปเกรดระบบมีเดียในรถเป็น MBUX 6.0 ก็ทำให้รูปแบบของหน้าปัดเปลี่ยนไปเล็กน้อย เช่นในธีม CLASSIC จากเดิมตัวเลขขาว พื้นดำ เข็มแดง ก็มีการเปลี่ยนฟอนท์ตัวเลขให้ดูบางลง สเกลวัดรอบเปลี่ยน ค่าความเร็วสูงสุดเปลี่ยนจาก 280 เป็น 300kmh และมีแสงสีน้ำเงินเรื่อๆบางๆให้ดูหรูหราขึ้น ในธีม SPORT ก็ใช้สีกรอบมาตรวัดกับตัวเลขสีส้มเช่นเดิม แต่ปรับแบ็คกราวนด์ให้ดูเรียบตัดกับเข็มมากขึ้น ส่วนธีม PROGRESSIVE ของเดิม ก็ถูกแทนที่ด้วยธีม SUPERSPORT ซึ่งหน้าตาจะฉีกออกไปจากเดิม วัดรอบและความเร็วขึ้นเป็นแถบ ซึ่งอ่านค่าแบบละเอียดได้ยาก แต่ในการขับแบบในสนาม ที่คุณต้องมองแบบชำเลืองหางตา กลับจะสังเกตได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ก็ยังมี Head Up Display ซึ่งสามารถแสดงความเร็ว วัดรอบ การนำทางได้ และสามารถ Config ได้ว่าจะให้โชว์ค่าอะไรบ้าง อยากโชว์แค่ความเร็วอย่างเดียวก็ได้ ซึ่งรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ก็มี แต่แค่ย้ายการปรับตั้งค่าจากบนแผงหน้าปัดไปไว้ที่เมนูจอกลางเพื่อให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น

****รายละเอียดทางวิศวกรรม****

CLS 53 ใช้เครื่องยนต์รหัส M256.930 ซึ่ง Mercedes นำมาใช้ครั้งแรกในปี 2017 เพื่อทดแทนเครื่อง V6 บล็อค M276 ซึ่งปัจจุบันยังลุงเค้ายังดิ้นอยู่ใต้ฝากระโปรงของ C 43 นั่นล่ะครับ Mercedes เป็นผู้ชำนาญการสร้างเครื่อง 6 สูบเรียงมานานตั้งแต่ปู่ยังไม่เกิด จนกระทั่งเมื่อปี 1997 พวกเขาก็เลิกทำเครื่อง 6 สูบเรียง ไปคบกับเลย์เอาท์แบบ V แทน เพราะตอนนั้นเบนซ์มองว่าการทำเป็นบล็อค V เพราะต้องการให้เครื่อง V6 กับ V8 ของค่ายตัวเองใช้อุปกรณ์ร่วมกัน ใช้ดีไซน์ร่วมกันให้ได้มากที่สุด ก็เลยทำให้ M112 เป็นเครื่อง V6 ที่ดันกาง 90 องศาเหมือนเครื่อง M113 V8 และใช้แคมชาฟท์เดี่ยวต่อฟากฝาสูบ มี 3 วาล์วต่อสูบ และ 2 หัวเทียนเหมือนกันด้วย M272 และ M276 ที่ตามมาในภายหลังก็เป็น V6 90 องศาเหมือนกัน แต่ใช้แคมชาฟท์คู่ต่อฟากฝาสูบและ 4 วาล์วต่อสูบแทน

การกลับไปใช้รูปแบบ 6 สูบเรียง ไม่ได้ทำเพื่อนักเลงรถที่ชอบเครื่อง JZ หรือเพื่อสุ้มเสียงเอกลักษณ์เฉพาะแบบ 6 สูบเรียงหรอกครับ แต่เพราะโลกยานยนต์ในสมัยใหม่ที่เครื่อง 8 สูบ 12 สูบมันกำลังจะตาย เบนซ์ก็เลยต้องพยายามทำให้เครื่องยนต์ 4 สูบเรียงกับ 6 สูบเรียงแชร์ของกันใช้ให้ได้มากที่สุด แม้แต่ความจุกระบอกสูบก็ 500 ซี.ซี. เท่ากัน แต่สิ่งที่เบนซ์คิดพัฒนาต่อยอดจาก 6 สูบเรียงรุ่นปู่ก็คือการนำระบบไฟฟ้า 48V เข้ามาใช้ ซึ่งกำลังไฟนี้จำเป็นต่อซูเปอร์ชาร์จไฟฟ้าของ Borg Warner ซึ่งหมุนได้ 70,000 รอบต่อนาที มันสามารถสร้างพลังบูสท์ 7 psi ได้ภายใน 0.3 วินาที ส่วนเทอร์โบของจริงที่เป็นแบบ Twin-scroll นั้นจะสร้างบูสท์ได้ 29 psi

นอกจากนี้ยังมีการนำมอเตอร์แบบ Mild-hybrid มาติดตั้ง ซึ่งทำหน้าที่ในการสตาร์ทเครื่อง เดินเบา สร้างกำลังไฟให้ซูเปอร์ชาร์จไฟฟ้า และช่วยเสริมแรงขับได้ในช่วงสั้นๆ (เท่าที่กำลัง 22 แรงม้าและแบตเตอรี่ลิเธียมไออ้อนลูกกะปิ๋ว 1 kWh จะให้ได้) ตลอดจนช่วยให้สามารถดับเครื่องในช่วยปล่อยไหล แต่ติดเครื่องได้ไวแบบไร้รอยต่อเพื่อผลในด้านการลดมลภาวะ แต่ตัวมันเองไม่มีแรงพอที่จะขับเคลื่อนรถหรอกครับ แน่นอนว่าไม่มี EV Mode แบบรถไฮบริดตัวจริง เขาถึงเรียกว่า Mild-Hybrid ไง ส่วนทางเบนซ์เอง เขาเรียกระบบนี้ว่า ISG-Integrated Starter/Generator

แล้วข้อดีอีกอย่างของ ISG คือ ไม่ต้องมีไดสตาร์ท (ลองสังเกตดูครับ เสียงเวลาสตาร์ท CLS 53 จะติดพรึ่บขึ้นเหมือนรถไฮบริดเดินเครื่อง) ไม่ต้องมีไดชาร์จเพราะมอเตอร์สร้างไฟเองอยู่แล้ว และในเมื่อพวงมาลัยเป็นแร็คไฟฟ้า ก็ไม่ต้องมีปั๊มเพาเวอร์ คอมเพรสเซอร์แอร์ก็เป็นแบบไฟฟ้า วิศวกรของเบนซ์เลยออกแบบให้เครื่อง M256 ไม่ต้องมีชุดสายพานหน้าเครื่อง ทำให้ตัวเครื่องสั้นลงกว่า 6 สูบเรียงยุคก่อน

เครื่องยนต์ M256.930 มีความจุ 3.0 ลิตร 2,999 ซีซี. เทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 พละกำลัง 435 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 5,800 รอบ/นาที ส่วนระบบมอเตอร์ไฟฟ้า EQ Boost นั้น สร้างกำลังเพิ่มอีก 22 แรงม้า และ แรงบิดอีก 250 นิวตันเมตรแต่จะมาช่วยเป็นบางช่วงของการกดคันเร่งสั้นๆ ทำให้ค่าแรงม้าและแรงบิดหลัก ไม่มีการแจกแจงแยกกันระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์เหมือนพวกรถ Plug-in Hybrid

CLS 53 ใช้ระบบส่งกำลัง เป็นเกียร์อัตโนมัติ AMG Speedshift TCT 9G 9 จังหวะ ซึ่งส่งกำลังผ่านทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ตัวเกียร์นั้นก็คือการนำเอาเกียร์ 9G-Tronic ปกติในรถทั่วไปของ Mercedes มาปรับแต่งให้เหมาะกับรถสมรรถนะสูง และจูนกล่องและวาล์วบอดี้ให้มีการเปลี่ยนเกียร์ได้คมขึ้น ไวขึ้นเมื่อใช้โหมด SPORT หรือ SPORT+

อัตราทดเกียร์ มีข้อมูลดังนี้

  • เกียร์ 1  5.354
  • เกียร์ 2  3.243
  • เกียร์ 3  2.252
  • เกียร์ 4  1.636
  • เกียร์ 5  1.211
  • เกียร์ 6  1.000
  • เกียร์ 7  0.865
  • เกียร์ 8  0.717
  • เกียร์ 9  0.601
  • เกียร์ถอยหลัง  4.798
  • อัตราทดเฟืองท้าย  3.060

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC+ ของ CLS 53 เป็นแบบที่จูนมาสำหรับรถ Mercedes-AMG ซึ่งจะมีความไว และห้าวในการถ่ายทอดกำลังมากขึ้นในพวกโหมดสปอร์ตทั้งหลาย การทำงานของระบบจะต่างจาก 4MATIC ธรรมดาของ C43 ซึ่งใน C43 นั้น จะมีการกระจายกำลังหน้า/หลัง 31/69 และปรับแปรผันเป็น 50/50 ได้แต่ไม่ว่าจะเป็นในสภาพใด จะมีการส่งแรงขับไปที่ล้อคู่หน้าตลอดเวลา มากหรือน้อยอีกเรื่องนึง

ส่วน 4MATIC+ ของ CLS 53 นั้น จะปรับอัตราการส่งกำลังไปด้านหน้า แปรผันตามการขับขี่มากกว่า และถ้าหากว่าคุณขับรถที่ความเร็วคงที่ ไม่มีการกดคันเร่งเพิ่ม ระบบจะส่งกำลังไปล้อหลัง 100% เพื่อลดการสูญแรงขับเคลื่อน หรือเวลาห้อทำท้อปสปีด เมื่อความเร็วสูง เกียร์สูง และ ECU คำนวณแล้วว่า ไม่น่าจำเป็นต้องใช้ขับสี่ มันก็จะพยายามส่งกำลังไปที่ล้อหลังเช่นกัน

ช่วงล่างของ CLS 53 เป็นแบบ AMG Ride-Control PLUS Suspension ซึ่งไอ้ PLUS ที่เพิ่มมานั้นหมายถึงการมีระบบรองรับน้ำหนักเป็นถุงลม (AIRMATIC) แทนสปริงเหล็กอย่างใน C 43 นั่นเอง  รูปแบบของช่วงล่าง ด้านหน้าเป็นแบบอิสระมัลติลิงค์ (Four-link) พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบอิสระมัลติลิงค์ (Five-link) พร้อมเหล็กกันโคลงเช่นกัน สามารถปรับความแข็งได้ 2 ระดับคือ Comfort กับ Sport แต่ไม่ใช่ว่ามันจะมีความหนืดอยู่แค่ 2 ระดับนะครับ ความหนืดมันแปรผันไปตามสไตล์การขับของเรา พูดง่ายๆก็คือ Comfort = แปรผันแบบเน้นไปทางนุ่ม ส่วน Sport=แปรผันแบบเน้นไปทางหนึบแน่น

ประโยชน์ของการเป็น AIRMATIC คือ ช่วงล่างสามารถปรับความสูงได้ 3 ระดับ ซึ่งรถจะปรับความสูงไปตามความเร็วและโหมดการขับขี่ที่คุณเลือกโดยอัตโนมัติ และในกรณีที่ต้องการขึ้น/ลงทางชัน คุณก็สามารถกดสั่งจากจอกลาง เพื่อยกระดับความสูงของช่วงล่างได้ คล้ายๆกับระบบยกหน้ารถในพวกซูเปอร์คาร์นั่นล่ะครับ นี่คือความอู้ฟู่ที่คุณได้จากการซื้อ CLS 53 แล้วค่อยไปงีดรับประทานอีกทีตอนถุงลมรั่วแล้วกัน

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นแบบแร็คแอนด์พิเนียน ผ่อนแรงด้วยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า ปรับจูนน้ำหนักและการตอบสนองโดยวิศวกร AMG ส่วนระบบเบรกนั้น เป็นแบบดิสก์ 4 ล้อ ชุดเบรกหน้า ใช้คาลิเปอร์แบบ 4 พอท คู่กับจานเบรกมีครีบเจาะรูขนาด 370 มม. ส่วนด้านหลัง เป็นคาลิเปอร์ 1 พอท คู่กับจานเบรกมีครีบระบายความร้อนแต่ไม่เจาะรู ขนาด 360 มม.

ยางคู่หน้า 245/35 R20 ส่วนยางคู่หลังเป็นขนาด 275/30 R20 สนับสนุนโดย Michelin Pilot Sport 4S สร้างสรรค์ผลงานดีมีคุณภาพอีกแล้วครับท่าน

*****การทดลองขับ******

ผมขับ CLS 53 รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์มาแล้วทั้งบนไฮเวย์ มอเตอร์เวย์ และสนามแข่งที่บุรีรัมย์ พอจำการตอบสนองของรถได้ ในครั้งนี้ เมื่อทางเบนซ์บอกว่าเครื่องยนต์ เกียร์ และช่วงล่างไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ผมจึงแค่ Recheck ว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิมจริงๆ และสิ่งที่ได้เพิ่มมาอีกอย่างคือการลองขับไปตามโค้งบนถนน B-road ที่เปียกชื้น ความเร็วไม่สูง แต่สาดแรงๆ เผื่อจะได้เจออะไรใหม่ๆ เรียนรู้อุปนิสัยตัวรถมากขึ้น

อย่างแรก เราลองเช็คอัตราเร่งกันหน่อยดีกว่า

0-100 kmh

Comfort Mode – 5.4 วินาที / Sport + Mode – 5.3 วินาที

80-120 kmh

Comfort Mode – 4.05 วินาที / Sport + Mode 3.55 วินาที

คนที่จำตัวเลขเก่ง อาจจะพอนึกได้ว่า มันก็เร็วกว่า C 43 นิดเดียวเองนี่หว่า แต่คุณเอ๋ย นี่คือรถที่หนักกว่า C 43 ราว 200 กิโลกรัมนะครับ ดังนั้นถึงแม้แรงบิดสูงสุดจะเท่ากันที่ 520 นิวตันเมตร แต่แรงม้าที่ต่างกัน 45 ตัว มันก็พยายามทำงานของมันอย่างเต็มที่ ในโหมด Sport + ผมเอ็นจอยสุดๆกับทั้งอัตราเร่ง และเสียงเครื่องยนต์ที่คำรามห้าว ดุดัน แต่กลับคล้ายเครื่อง V6 ใน C 43 มากกว่าที่เราคิด ในรถแบบนี้ เจ้าของตัวจริงมักจะไม่สนอัตราเร่งในย่านที่ผมบอกข้างต้นหรอกครับ เขาว่ากันยาวกว่านั้น รถอย่าง CLS 53 คือรถที่พอวิ่งอยู่ 100 kmh คุณกดคันเร่งประมาณ 5 วินาทีก็บินอยู่ที่ 160 แล้ว และถ้ามีทางยาวให้คุณแช่ต่ออีกสัก 5-6 วินาที 200 kmh ก็มาอย่างง่ายดาย ความเร็วสูงสุด ก็น่าจะเท่าเดิมคือล็อคที่ 257

ถึงแม้ทุกวันนี้ เราจะมาถึงช่วงเตรียมสั่งลารถสันดาปภายใน และรถ EV ใหม่ๆก็สามารถสร้างอัตราเร่งที่น่าตื่นตระหนกได้ในราคาที่ถูกกว่านี้ แต่อรรถรสจากเสียงเครื่องยนต์ การเปลี่ยนเกียร์ที่มีความรู้สึกว่ามันมีกลไกอะไรสักอย่างทำงานก๊อกแก๊กของมันเพื่อถีบรถไปข้างหน้า เป็นสิ่งที่พวกเราวัยกลางคนคงอดคิดถึงไม่ได้ เหมือนกันกับนาฬิกา ซึ่งสมัยนี้สมาร์ทวอทช์ บอกเวลาตรงอย่างสุดตีน มีลูกเล่นมากมาย ทำอะไรได้หลายอย่าง แต่ทำไมบางคนยังสวมใส่นาฬิกาไขลานหรือออโต้เมติกแพงๆ เพราะสำหรับบางคน มันคืออารมณ์ความรู้สึก มากกว่าการเถียงกันว่าใครแพ้ชนะเรื่องไหน

เข้าสู่ช่วงถนนโค้ง..ซึ่งไม่ใช่ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (ในภาพข้างบนนี่เราขับเพื่อถ่ายรูปเฉยๆ) ในอุทยานไม่ใช่ที่อัดรถเล่นครับ เรามีที่ข้างนอกมากมายที่เราจะทดสอบรถได้โดยไม่โดนช้างป่าไล่กระทืบ อีกอย่างนึงคือเสียง CLS 53 เดิมๆเวลาเปิด Sport + แล้วอัดเต็มตีนนี่น่าจะทำฝูงลิงตื่นตระหนกได้ ไปที่อื่นเถอะ

การตอบสนองของรถ พูดง่ายๆว่า คอนเฟิร์มครับ เหมือนเดิมทุกประการ พวงมาลัยมีน้ำหนักต้านมือกว่า Mercedes ประเภทคนจ่ายเงินนั่งเบาะหลังแบบรู้สึกได้ และน่าจะมีการตั้งศูนย์พวงมาลัยที่ต่างกัน เหมือนกับรถของ AMG นี่ พวงมาลัยจะมีนิสัยพร้อมเลี้ยวอยู่ตลอดเวลา อัตราทดเฟืองตั้งมาค่อนข้างไว หมุนจากศูนย์กลางไปขวาสุดแค่ 1 รอบนิดๆก็หมดแล้ว ขับบนเส้นทางโค้งถนนสายรอง โคตรสนุก! น้ำหนักพวงมาลัยที่ต่างจากเบนซ์สเป็คแท็กซี่โรงแรม อีกส่วนก็น่าจะมาจากยางหน้ากว้าง และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ทำให้พวงมาลัยมีแรงตึงพยายามดึงตรงชัดเจน แต่ไม่ได้ถือว่าน่ารำคาญในความคิดผม

ช่วงล่าง AMG Ride Control PLUS ในโหมด Comfort สามารถซับแรงกระแทกจากหลุมบ่อเล็กๆได้ดีสำหรับรถใหญ่ยางบางเฉียบ แต่คุณคงไม่คาดหวังให้มันซับแรงดีเท่า E 220 ดีเซลหรอก เพราะยังไงก็ต้องมีอารมณ์สปอร์ตเหลือไว้บ้าง และถ้าปรับเป็น SPORT หรือ SPORT+ ก็จะแข็งสะเทือนขึ้นแบบรู้สึกได้ แต่ก็ควบคุมอาการยวบของตัวถังได้ดี อย่างที่ผมเคยทดสอบในสนามบุรีรัมย์มาแล้ว CLS 53 เดิมๆ อาจจะไม่เพียงพอต่อ Lewis Hamilton ในการขับแบบแข่งทำเวลา แต่สำหรับคนทั่วไปที่ชื่นชอบ Performance Car มันสามารถรับงานสนามแบบนั้นได้ดีพอ

สิ่งเล็กๆที่ดูเหมือนไม่สำคัญอย่างการเพิ่มปุ่มปรับโหมดที่พวงมาลัย ทำให้ใช้งานระหว่างขับได้ง่ายขึ้นมาก รุ่นเดิมที่มีแต่สวิตช์เล็กๆนั้นกว่าจะควานหาเจอสวิตช์ ปรับโหมดเสร็จ ข้าศึกแม่งไปถึงโค้งไหนต่อไหนแล้วไม่รู้ สำหรับการขับบนถนนสายรองเพื่อความสนุกและปลอดภัย ผมรู้สึกว่าคุณปรับไว้แค่โหมด SPORT ธรรมดา การตอบสนองของรถโดยรวมดูจะบาลานซ์ดีระหว่างความสนุกกับความปลอดภัย เวลาเติมคันเร่งกลางโค้ง จะรู้สึกได้ว่าล้อหน้ามีบทบาทช่วยในการดึงรถออกจากโค้งและตัวรถพยายามรักษาไลน์ให้ได้มากที่สุด

ปรับไปโหมด SPORT+ ก็ได้นะ ถ้าคุณมีประสบการณ์ขับรถระดับนี้ (คือ..หมายถึง มี ที่แปลว่ามีจริงๆ ไม่ใช่ทึกทักไปเองว่ามึงอ่ะมี) รถจะตอบสนองในแบบพร้อมหาเรื่องตลอดเวลา แล้วยังลดการ์ดการทำงานของระบบควบคุมการทรงตัวและกันลื่นไถล ซึ่งถ้าเป็นในสนามแข่ง แทร็คร้อน ยางเกาะดี มันจะสนุก แต่บนถนนสายรองที่บางจุดผิวถนนชื้น ระวังไว้ด้วยนะครับ ระหว่างเข้าโค้งอยู่ ผมลองแต๊บคันเร่งลงไปดู ท้ายรถสะบัดจนหน้ารถหันไปหาข้างทาง ตอนออกนี่เหมือนรถขับหลัง แต่ตอนแก้คืน ไม่ต้องหักพวงมาลัยสวนทางเยอะครับ ขวางลำกันมาเยอะแล้วกับนิสัย 4MATIC+ นี่ เอาคันเร่งไว้เท่าเดิมแหละ แค่คืนพวงมาลัยให้ตรงแล้วบิดสวนทางเติมอีกนิดหน่อย แค่ประมาณไม่เกินคืบนึงจากตำแหน่งถือตรง เดี๋ยวมันก็กลับมาอยู่บนทางของมันเอง

แป้นเบรก ให้ความรู้สึกหนักปานกลางถ้าคุณขับใช้งานในเมือง ทำให้ไม่รู้สึกเมื่อยเท้าจนเกินไป อาการเบรกตอบสนองเหมือนรถเบนซินธรรมดา ไม่ใช่เดี๋ยวไหลเดี๋ยวหน้าทิ่มแบบรถไฮบริดเสียบปลั๊กอย่าง S 580 e นั่นก็เพราะ CLS 53 เป็น Mild Hybrid นั่นเอง

แต่ในการขับแบบสนามแข่ง ยิ่งคุณกด เบรกจะยิ่งต้านเท้าขึ้นเรื่อยๆ ในจุดที่ผมกดเบรกแรงขนาดนี้รถญี่ปุ่นทั่วไป ABS จะทำงานแล้ว จอกลางของ CLS บอกว่าไอ้แพนมึงอ่ะเพิ่งจะใช้แรงเบรกแค่ 60% เอง ส่วนความสามารถในการยับยั้งความเร็ว ถ้าหากขับแบบในสนามที่ไม่ค่อยมีสปีดเกิน 200 ระบบเบรกเดิมเอาอยู่ครับ (แต่ถ้าวิ่งหลายๆรอบติดก็จะมีอาการบ้าง) อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสเป็คผ้าเบรกก็เหมือนตัวก่อนไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งถ้าหากคุณเป็นพวกที่นิยมความเร็วเกิน 200 แล้วเบรกบ่อยๆ ยังไง ผ้าเบรกสเป็คซิ่งต้องมา หรืออัปเกรดเบรกหน้า/หลังแบบโหดไปเลยก็มั่นใจกว่า

ให้คิดไว้ก่อนครับว่า มันไม่ใช่รถสปอร์ตตัวเบา 1.4-1.5 ตัน มันคือรถห้าเมตรหนักสองตันที่พยายามจะสปอร์ต มันเร็ว แรง และไปได้ไวมากบนไฮเวย์ทางเรียบ และทำสปีดได้ดีในขุนเขาแบบวิ่งตามไลน์ แต่ถ้าไอเดียในความสนุกของคุณก็การดริฟท์ยาวๆ กวาดท้ายเล่นในขุนเขา CLS 53 ไม่น่าจะสร้างมาเพื่องานแบบนั้น รบกวนไปซื้อ MX-5 หรือ BRZ มาเล่นเถอะครับ

*****บทสรุปการทดสอบ*****

Likes: หล่อกระตุกจิต แรงกระชากใจ ภายในบรรยากาศเลานจ์ เอาไว้ขับทุกวันก็ไม่เหนื่อย สนุกแบบมั่น หรือแบบขนลุก แล้วแต่เท้าคุณ

Dislikes: ซื้อ CLS ห้ามบ่นเรื่องพื้นที่ภายใน เวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ตัด Adaptive Cruise Control ออก แม้จะชดเชยด้วย Night Package แต่ราคาก็แพงขึ้น

Mercedes Group AG ประกาศมานานแล้วว่าหลังจากปี 2030 เป็นต้นไป รถของพวกเขาในตลาดหลักจะเป็น EV ทั้งหมด ประกอบกับข่าวที่ว่าในไม่นานนี้ CLS-Class ก็จะเลิกผลิต เช่นเดียวกับ E-Class Coupe และ C-Class Coupe ซึ่งผมคิดว่า เนื่องจากตลาดกลุ่มนี้สร้างยอดขายจริงได้น้อย พวกเขาก็อาจนำรุ่นต่างๆเหล่านี้ไปรวมเป็น “CLE” แล้วทำบอดี้คูเป้สองกับสี่ประตูไปเลย (อันนี้เดา)

นั่นก็แปลว่า CLS 53 ที่คุณเห็นอยู่นี้ จะเป็น CLS รุ่นสุดท้าย และอาจเป็นรถยนต์สันดาปภายใน (คือมีมอเตอร์แหละแต่เป็นมอเตอร์กะปิ๋ว ทำงานแบบ Mild-Hybrid) รุ่นท้ายๆของเบนซ์ เครื่องยนต์ M256 นี่ก็อาจจะเป็นวิวัฒนาการสุดท้ายแล้วเช่นกันก่อนจะเข้าสู่ยุค EV

ดังนั้น CLS 53 นี่ก็เป็นทั้ง A Sweet Good-Bye และ Good Buy ไปในตัว เพราะในงบประมาณหกล้าน ถ้าคุณยังอยากได้ยินเสียงเครื่องยนต์และท่อไอเสีย มันคือรถที่มีมาดอลังการที่สุด รูปทรงโดดเด่นสะกดตา ดีไซน์ภายในเล่นแสงสีซะดูแพงตามสไตล์เบนซ์ และเป็นรถที่ไปได้เร็วทั้งทางตรง และทางโค้ง หรือแม้กระทั่งตอนรถติดอยู่สาธรหลังอาทิตย์ตกดิน มันก็เป็นรถที่ขับง่ายเข้าใจง่ายมากเท่าเบนซ์สเป็คธรรมดานั่นแหละ ต่างกันแค่ช่วงล่างจะสะเทือนกว่าหน่อย เรื่องการโดยสาร ผมคิดว่าคนที่มอง CLS นั้น รู้อยู่แล้วว่าเขาจะได้รับอะไรจากหลังคาที่เตี้ยปานรถสปอร์ตแบบนั้น ถ้าคุณไปลองนั่ง แล้วคุณรับได้ ก็โอเคแหละ

สิ่งที่ออกจะน่าเสียดายหน่อยก็คือ การจากไปของระบบ Active Distance Assist DISTRONIC ซึ่งโคตรกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติไม่มีวิกฤติชิพแล้วเบนซ์ตัดออกนี่ผมจะบอกเลยว่าไม่เห็นด้วย 100% แต่ในเมื่อมันไม่ได้ตัดออกแค่รุ่นนี้รุ่นเดียว รถที่เคยมี อย่าง GLC 43 ก็ตัดออก รถที่มาใหม่อย่าง GLE 53 ก็ไม่มี คู่แข่งอย่าง Audi ทั้งหลาย ก็ไม่มีระบบเรดาร์ครูสแบบนี้ ก็น่าจะเกิดจากวิกฤติชิพขาดแคลนจริงๆ ก็คงได้แต่แสดงความเห็นว่าน่าเสียดายอุปกรณ์นี้ เพราะมันจะช่วยให้การขับทางไกล หรือขับในเมืองแต่รถติดหนาแน่นแบบจะไปก็ไม่ไป จะหยุดก็ไม่ยอมหยุด สบายขึ้นนะ

Previous Post

N2005010_เขาไม่มีอะไรให้ลูก นอกจากความรัก…แต่กลับปกป้องลูกไม่ได้เลย ep2_part2

Next Post

N2005007_หญิงสาวถูกกลั่นแกล้งในงานเลี้ยง ep2_part2

Next Post
N2005007_หญิงสาวถูกกลั่นแกล้งในงานเลี้ยง ep2_part2

N2005007_หญิงสาวถูกกลั่นแกล้งในงานเลี้ยง ep2_part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N1606002_ภาพยนตร์โรแมนติกละครไทยที่ดีที่สุด 2024_part2
  • N1606004_เพราะเมียน้อยของเขา สามีจึงปฏิบัติต่อภรรยาอย่างเลวร้าย_part2
  • N1606005_หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจเมื่อสามีของเธอมีชู้_part2
  • N1606006_สามีขี้โกงลับหลังภรรยา บริษัทจะเป็นของใคร?_part2
  • N1606008_เด็กสาวช่วยชีวิตหลานชายของ CEO โดยไม่ได้ตั้งใจ_part2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.