แต่ถ้าเป็นรุ่น C230 2.5 จะเสริมระบบปรับระดับสูง-ต่ำ เข้าออก ของพวงมาลัยด้วยไฟฟ้า
ทำงานเชื่อมกับหน่วยความจำเข้าไปด้วย
พนักศีรษะ เลื่อนขึ้น-ลงได้ และปรับให้เงยเพื่อรองรับศีรษะด้านหลังได้
ผมชอบ ที่เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด ของเบาะคู่หน้านั้น
ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถปรับระดับสูงต่ำได้เอง ไม่ล็อกตำแหน่งตายตัว
ให้ผู้ขับต้องปรับตัวเข้าหาตัวเข็มขัดอย่างที่ วอลโว และ BMW เป็นอยู่

(C200 Kompressor ELEGANCE)
ทางเข้าเบาะคู่หลังนั้น มีขนาดพอกันกับรถยนต์คอมแพกต์ 1,600-2,000 ซีซี จากญี่ปุ่น
ช่วงการก้าวขาเข้า-ออกจากรถนั้น จัดอยู่ในเกณฑ์ปกติ สำหรับคนที่มีสรีระทั่วไป
แต่สำหรับผม ก็จะเริ่มอึดอัดนิดนึง ทว่า ถ้าไซส์อย่างท่านผู้เกิน Commander CHENG
เห็นที จะไม่ไหว

(C200 Kompressor Avantgarde)
แผงประตูคู่หลังนั้น นอกจากจะมีที่วางแขนตามปกติแล้ว ยังมีช่องใส่ ของด้านข้างมาให้
ตั้งข้อสังเกตว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ แทบทุกรุ่นที่ผมเจอมา เสากรอบประตู จะหนา มากกว่ารถญี่ปุ่นทั่วๆไป
แน่นอนว่า มีผลในด้านการลดเสียงรบกวน ขณะเดินทางได้พอสมควร

(C230 2.5 Avantgarde)
เบาะนั่งด้านหลัง นั้น ค่อนข้างแข็ง และไม่ได้นั่งสบายนัก เบาะรองนั่งค่อนข้างสั้น
พอกันกับฮอนด้า แอคคอร์ด เจเนอเรชันที่ 7 ที่ตกรุ่นไปเมื่อปี 2007 นั่นละ
ส่วนปีกข้างของพนักพิงเบาะหลัง จะถูกบีบเข้ามาโดยซุ้มล้อ เช่นเดียวกันกับ ซีรีส์ 3
ดังนั้น อย่าคาดหวังความสบายในการโดยสารที่เบาะหลังมากนัก เว้นเสียแต่ คุณจะให้เพื่อน
ติดรถร่วมเดินทาง ในระยะสั้นๆ ถ้านั่งไปอยุธยา ก็พอทนได้ แต่ถ้านั่งไป อ่างทอง คาดว่า เมื่อยแน่ๆ
สำหรับผู้โดยสารตอนกลาง มีพนักศีรษะแบบเต็ม มาให้อีกต่างหาก ในทุกรุ่น

(C200 Kompressor ELEGANCE)
พื้นที่เหนือศีรษะด้านหลัง ไม่ได้มากมายอย่างที่คิด ศีรษะของหลายๆคนเฉี่ยวหลังคาด้านบนไปนิด
แต่กับบางคนที่เตี้ยหน่อย ก็ยังมีพื้นที่โปร่งสบายกว่า ซีรีส์ 3 นิดนึง ย้ำว่าแค่นิดนึงเท่านั้น
พื้นที่วางขาด้านหลัง ใหญ่และดีขึ้นกว่า W203 เล็กน้อย
วางขาได้สบายขึ้น เข่าไม่ติดด้านหลัง ของพนักพิงเบาะคู่หน้า
ที่พักแขน ตรงกลางพับเก็บได้ เมื่อดึงออกมา จะมีทั้งช่องใส่ของแบบมีฝาปิดขนาดยาว
ส่วนที่วางแก้ว มีมาให้ 2 ตำแหน่ง และพับเก็บได้ในรูปแบบที่ออกจกะแปลกตาไปสักหน่อย
เข็มขัดนิรภัย เป็นแบบ 3 จุด ทุกตำแหน่ง พร้อมระบบ ดึงกลับอัตโนมัติ และลดแรงปะทะ
มาให้ เช่นเดียวกับเบาะคู่หน้า

(C200 Kompressor Avantgarde)
เหตุที่นำรูปห้องโดยสาร มาลงให้ครบกันขนาดนี้ มี 2 เหตุผล
1. ให้คุณๆได้เห็นความแตกต่างกันไปข้างนึงเลย ว่าแต่ละรุ่น มีรายละเอียดแตกต่างกันตรงไหน
2. ให้คุณๆ ได้เล่นเกม Photo Hunt จับผิดภาพ….อีกแล้ว (^-^’)

(C230 2.5 Avantgarde)
สารภาพตามตรงว่า ทุกครั้งที่เปิดฝากระโปรงท้ายของ ซี-คลาสรุ่นนี้ทีไร
ชวนให้หวาดเสียวไปถึงขั้วหัวใจทุกที!
มาแบบเดียวกับ ฝากระโปรงหลังของ E-Class รุ่นปัจจุบันในไทย แต่ตกรุ่นแล้วในยุโรปเป๊ะ
แน่ละ ทันทีที่ดันมือจับปลดล็อก บริเวณ กึ่งกลาง ระหว่างไฟส่องป้ายทะเบียนหลัง
ฝากระโปรงน้ำหนักเบา จะดีดผึง อย่างรุนแรง!!!
และถึงแม้ว่า พอฝาเปิดขึ้นไปจนสุดแล้ว มันจะหยุดด้วยตัวของมันเอง อย่างนุ่มนวล ครั้งเดียวอยู่หมัด
แต่ ก็สร้างความหวาดเสียวได้เอาเรื่อง ยังคิดกันอยู่เล่นๆเลยว่า ถ้ามันเสยคางใครขึ้นมาละก็
สงสัยงานนี้ ถึงขั้นคางแตกได้เลยนะเนี่ย…

ห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายนั้น มีขนาด 475 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA ของเยอรมัน
มีแผงฟิวส์ ซ่อนอยู่ที่ผนังด้านขวา และมีป้ายฉุกเฉิน แปะอยู่ด้านบน
เพื่อพิสูจน์ว่า มันมีความจุมากแค่ไหน ยังไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรจบดีนัก
ตากล้วย BnN ก็กระโดด ลงไปนอน ทำท่า ลิงย่าง คาบ Oreo จนเรียบร้อยเลย…..

เอาแล้วไง ถ้ากล้วยลงไปนอนได้ ตัวขนาดผม ก็น่าจะลงไปนอนได้…แต่…เอ่อ…
มันก็ อึดอัดสักหน่อยนะ เอาน่า พอไหวๆๆ ถือว่า ยังมีขนาดความจุที่ใช้การได้…
โปรดสังเกตใบหน้าอันอีหลักอีเหลื่อของผม เอาเองแล้วกันครับ

แต่ระหว่างลงไปนอน จู่ๆ โดยไม่ทันคาดคิด ท่านผู้เกิน ก็พุ่งเข้ามา หมายจะแกล้งผม หัวทิ่มเข้ามาในห้องเ็ก็บของด้านหลัง
อยากจะบอกว่า นอกจาก บั้นท้าย ซี-คลาส จะรับไมได้แล้ว
ผมเองก็ยังรับไม่ได้เหมือนกัน ตอนเจ้าตัวพุ่งเข้ามา ขอบอกว่า โคตรน่ากลัวเลย!
ท้ายที่สุด พยายามเอาศีรษะ (ที่เพิ่งตัดผมมาหมาดๆ) พยายามจะมุดเข้ามาในห้องเก็บของด้านหลัง
แต่ในที่สุด ท่านผู้การ ของเรา ก็ยอมศิโรราบ ถอยห่างออกไปจากชีวิตผมแต่โดยดี
เปล่าหรอก ไม่ใช่ความพยายามไม่สำเร็จ
หากแต่ เจ้าตัว ทนกลิ่นรองเท้าผ้าใบ ของผมไม่ไหวนั้นเอง…
ถึงขั้นถอยหลังผงะกลับไปอย่างรวดเร็ว
แพนเอ้ย Nike คู่เนี้ย 2 ปีครึ่ง แล้วนะ และ ตั้งแต่ซื้อมา
มีแต่ตากแดดอย่างเดียว ไม่เคยซักเลยสักครั้ง….
สมน้ำหน้า!
คิกๆๆๆๆๆๆ

ไม่รู้ว่าผมจะคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่เรื่องที่น่าตำหนิที่สุดของ ซี-คลาสใหม่
มันก็คือ งานออกแบบแผงหน้าปัด กับพวงมาลัย ที่ทิ่มตาผมอยู่ทุกขณะตอนขับขี่นี่แหละ
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นบริษัทชั้นนำในระดับต้นๆ เวลาที่เราจะนึกถึง
บริษัทรถยนต์ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการออกแบบยานพาหนะให้เราได้ขับขี่กัน
แต่ทำไมในระยะหลังมานี้ งานออกแบบของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ถึงได้ ดูคมๆ ทื่อๆ
มากขึ้นกว่าแต่ก่อน จริงอยู่ ว่า งานออกแบบของเยอรมันนั้น ปกติแล้ว จะมีเส้นสายแข็งๆ
เน้นการอวดของ โชว์เทคโนโลยี กันมากกว่า
แต่กับแผงหน้าปัดของ ซี-คลาสคราวนี้ เหมือนแกะออกมาจากท่อนซุง คือแข็งทื่อไปเสียทุกส่วนสัดจริงๆ
แผงหน้าปัดของรุ่น C200 Kompressor ELEGANCE จะตกแต่งด้วลายไม้ เป็นหลัก

ส่วนแผงหน้าปัดของ C200 Kompressor Avantgarde ก็จะเปลี่ยนลายไม้ มาเป็น แผงอะลูมีเนียม ในทุกจุด
(ที่เห็นนี้ เป็นรถนำเข้า ส่วนรถรุ่นประกอบในประเทศ ไม่มีจอ มอนิเตอร์ กับระบบนำทาง นะครับ)

ส่วนรุ่น C230 2.5 Avantgarde นั้น แทบไม่ได้แตกต่างกันเท่าใดเลย

เบรกมือ เป็นแบบแป้นเหยียบที่เท้าซ้าย และมีคันโยกปลดเบรก ใช้สวิชต์มือบิดเปิด-ปิดไฟหน้า
ซึ่งหากดึงเข้าหาตัว ตามจังหวะ จะเป็นการเปิดไฟตัดหมอกทั้งหน้า-หลังไปในตัว
และในรุ่น ELEGANCE คันที่ทดลองขับ มีสวิชต์ปรับระดับสูงต่ำของไฟหน้าด้วย ติดอยู่ฝั่งซ้ายของสวิชต์มือบิดเปิด-ปิดไฟหน้า
ส่วนกระจกมองข้างปรับ และพับเก็บได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า มีครบครัน เพราะรถระดับนี้ขืนไม่มีมาให้ ก็คงโดนลูกค้าด่าแหงๆ

ช่องเก็บของ ล้นชักหน้ารถ แบ่งเป็น 2 ชั้น ดูเหมือนจะลึก แ่ต่เอาเข้าจริงก็มีขนาดเท่าที่เห็น ฝาปิด เปิดลงมาได้เยอะมาก จนชนหัวเข่า

ชุดมาตรวัด เป็นแบบ 3 ช่องวงกลม มีมาตรวัดมาให้เท่าที่จำเป็น
อันที่จริง การแบ่งช่องแบบนี้ ดีอยู่แล้ว เพียงแต่มีเรื่องต้องถามไถ่กันหน่อยนึง
คือ ผมไม่เข้าใจว่า แถบขีดๆ ที่รอบๆ มาตรวัดรอบนั้น
ตกลงแล้ว เราควรจะอ้างอิงตัวเลขได้ไหม
เพราะพยายามนับให้ตายยังไง ก็แบ่งช่องออกมาได้ไม่ลงตัวเลย
คือ มีทั้งหมด 7 ขีด จาก ระดับ 1,000 – 2,000 รอบ/นาที
และต้องใช้วิธีการกะประมาณคร่าวๆ แทน
ซึ่งทำให้ชีวิตดูไม่ปวดเศียรเวียนเกล้า อย่างที่เคยเป็น
ส่วนแถบขีดแบ่งบนมาตรวัดความเร็วนั้น อ่านได้ไม่ลำบากตาเท่าไหร่
ใครรู้ ช่วยไขความกระจ่างให้ผมฟังทีเถอะครับ นึกว่า ทำบุญ อุทิศส่วนกุศล ช่วยไอ้อ้วนตาดำๆคนนี้ทีเถิด

สวิชต์บนพวงมาลัยนั้น ออกแบบมา เป็นแป้นวงกลม ทั้ง 2 ฝั่ง
ฝั่งซ้ายนั้น เอาไว้ควบคุมการทำงานของ จอแสดงข้อมูล Multi Information Display
ที่ติดตั้งอยู่ตรงกลางของมาตรวัดความเร็ว ซึ่งแสดงผลได้หลายรายการ
ตั้งแต่ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ระยะทางที่เหลือพอให้น้ำมันในถัง พารถแล่นไปได้
เข็มทิศ ระบบแจ้งเตือนความดันลมยางต่ำ รวมทั้งเป็นหน้าจอ
สำหรับการเซ็ตระบบอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆในรถ ให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้
แสดงอุณหภูมิภายนอกรถ ไปจนถึง แจ้งเตือนระยะทางที่เหลือ
ก่อนถึงกำหนดนำรถเข้ารับบริการ ASSYST PLUS ฯลฯ
ส่วน ชุดสวิชต์ ฝั่งขวานั้น ควบคุมระดับเสียง ของทั้งชุดเครื่องเสียงและโทรศัพท์
ซึ่งสามารถแสดงผลได้บนจอ Multi Information System นี้อีกเช่นเดียวกัน!
จะเปลี่ยนแทร็ก ซีดี หรือคลื่นวิทยุ ก็ดูจากชุดมาตรวัดนั่นละ
ลดการละสายตาจากสภาพการจราจรข้างหน้าได้อย่างดี
และยังมีปุ่มระบบสั่งการทำงานเครื่องเสียงและโทรศัพท์ด้วยเสียงของเรา
ชื่อของมันคือ LINGUATRONIC อ่านว่า ลิงกัวโทรนิค
แสดงว่า ลิง ยังกลัวระบบนี้เลยแหะ
(ตอนแรกตั้งใจว่า จะนำภาพทั้งหมดให้ชมกัน
แต่นึกไปนึกมา ถึงแม้คุณกำลังอ่านรีวิวจากผม แต่ คุณก็ไม่ได้กำลังอ่านคู่มือการใช้รถอยู่แต่อย่างใด
ดังนั้น เชื่อแน่ว่า ไม่มีใครอยากทนรอโหลดทั้ง 14 รูปที่ผมถ่ายเก็บมาจนครบหรอก เลยตัดสินใจไม่เอาลงดีกว่า)

ชุดเครื่องเสียงนั้น ในรุ่น ELEGANCE จะเป็นวิทยุ พร้อมเครื่องเล่น CD 6 แผ่น
มีระบบเสียง Surround Logic 7 จาก Harman Kardon มาให้ พิเศษกว่ารุ่น Avantgarde เสียอีก
ซึ่ง แน่นอน คุณภาพเสียง ดีกว่าชุดเครื่องเสียง BMW Bussiness ใน ซีรีส์ 3 อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ถ้าถามว่า ดีกว่า แบบ Professional ใน 320d ไหม คำตอบก็คือ อยู่ที่หูของคุณแล้วละครับ
หน้าจอมอนิเตอร์ของ C200 Kompressor ทุกรุ่นที่ประกอบในประเทศไทย จะเป็นหน้าจอแบบเล็กอย่างที่เห็น

แต่ในรุ่น C230 2.5 Avantgarde
จะให้จอมอนิเตอร์แบบเต็ม Command APS
มาพร้อมระบบนำทาง ฝังข้อมูลลงในตัวเครื่องโดยตรง
แถมยังสามารถเล่นแผ่น DVD ได้อีกด้วย
ตอนจอดรถอยู่หน้าบ้าน ผมก็นอนดู เดี่ยว 7 ของคุณโน้ต อุดม แต้พาณิชย์ สบายใจเฉิบ
เมนูบาร์ จะเลื่อนหายขึ้นไปด้านบน และล่างเอง เมื่อเวลาผ่านไปแป๊บนึง
การควบคุมเครื่องเล่น ทั้งหมด ทำได้บนแผงควบคุมชุดเครื่องเสียงนั่นเอง
ด้านล่างของจอมอนิเตอร์นี้ มีปุ่มกด สำหรับปรับมุมองศาให้จอเงย หรือคว่ำตามต้องการ หรือพับเก็บปิดทิ้งไปเลยก็ได้

อย่างไรก็ตาม ระบบ COMMAND ของ ซี-คลาส นั้น
แตกต่างจาก i-Drive ของ BMW ด้วยคำจำกัดความที่สั้นมากๆว่า
i-Drive นั้น ถ้าคิดไม่ออก บอกไม่ถูก กดปุ่ม MENU ทุกอย่างจะเริ่มต้นใหม่
ที่หน้าจอแรกได้เสมอ
แต่ COMMAND หนะ หาเข้าไปสิ สิ่งที่ต้องการหนะ ไม่เจอง่ายๆหรอก แบร่ๆๆๆๆๆๆ
กว่าจะหาเจอ ว่า POI ( Point Of Interest) อยู่ตรงไหน ก็คลำหากันพักนึง
กว่าจะหาเจอระบบโทรศัพท์ ก็คลำกันอีกพักนึง
กี่พักกันแล้วเนี่ย?
ทำไม ผู้ผลิตรถยนต์ฝั่งยุโรป ทั้ง เมอร์เซเดส-เบนซ์ และ บีเอ็มดับเบิลยู ไม่ทำระบบพวกนี้
ให้อยู่บนพื้นฐานของ จอมอนิเตอร์แบบ Touch Screen ซึ่ง ใช้งานง่ายกว่า สะดวกกว่า
และไม่ต้องเสียเวลาชีวิต มานั่งตาบอดคลำจอระบบกันอยู่อย่างนี้ ให้มันสิ้นเรื่อง ?
POI (Point Of Interest) ของระบบนำร่อง ใน ซี-คลาสนั้นขอยอมรับว่า มีข้อมูลค่อนข้างใช้ได้เลยทีเดียว
แน่ละ ขนาด POI รูปสถานพยาบาลนั้น ระหว่างที่ขับผ่านย่าน ตลาด อตก.
เราก็งงเต๊กกันเลยว่า แถวนี้มันมีสถานพยาบาลด้วยเหรอ
พอมองไปข้างทางอีกที ก็ขำกันจนกรามค้างไปเลย
แน่ละ เพราะ สัญลักษณ์สถานพยาบาล กากบาทแดง นั้น
แท้จริงแล้วมันคือ คลีนิครักษาสิว ฝ้า กระ และจุดด่างดำ นั่นเอง!!
แต่ถ้าพูดถึงการใช้งานจริง ระบบ COMMAND ยังมีข้อจำกัดบางอย่าง มากกว่าระบบ i-Drive
เพราะอย่างน้อย สำหรับระบบ i-Drive ถ้าคิดไม่ออก บอกไม่ถูก ว่าจะหาอะไรดี
ยังมีปุ่ม MENU กดให้กลับไปที่หน้าจอแรกเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ยังได้อยู่
แต่ในระบบ Command ถ้าหลงอยู่ในวังวน ก็จงหลงกันอย่างนั้นต่อไป
คลำหาทางกันออกมาเอง เพราะบางครั้ง การกดปุ่ม <–‘ บนพวงมาลัย
ก็มิได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นทุกครั้งไปแต่อย่างใด
ต้องเลื่อนสวิชต์หมุน เลื่อนขึ้น เพื่อให้แถบเมนูด้านบนโผล่ขึ้นมา
ก่อนจะกดเลือก ให้แถบเมนูกลางจอต่างๆ ทำงาน หมุนๆ แล้วกดเลือกอีกที
ก็จะเจอแถบเมนูด้านล่างซ้อนเข้าไปอีก
โอย! มันช่างปวดหัววุ่นวายอะไรเช่นนี้เนี่ยยยยย ชีวิต???