การลุก เข้า – ออกจากเบาะหลังนั้น ทำได้อย่างสบาย ส่วนหนึ่งเพราะรถคันนี้เป็นรุ่น
Long Wheelbase ฐานล้อยาว ปัญหา ความคับแคบของช่องทางเข้า จึงหมดไป สังเกตุ
ว่าบานประตูทั้ง 4 บานนั้น สามารถเปิดกางออกเท่าไหร่ก็ได้ บานพับจะล็อกตำแหน่ง
ล่าสุดที่คุณเปิดค้างเอาไว้ให้ โดยไม่ต้องกลัวว่า ประตูจะดีดไปโดนรถคันอื่นหรือเปล่า
แผงประตูด้านล่าง ยังมีช่องใส่ของขนาดเล็ก ใส่ได้แค่ เอกสารพกพา หรืออาจจะเป็น
ปืนพกเล็กๆ สักกระบอกที่ซ่อนอยู่ คงต้องเป็นปืนที่เล็กจริงๆ เพราะขนาดขวดน้ำ 7 บาท
ยังแทบจะยัดลงไปได้ยากเลย เขาไม่ได้ออกแบบมาเผื่อประเด็นนี้เอาไว้
พนักวางแขนนั้น ถึงแม้จะวางได้ในตำแหน่งสบายพอดีเป๊ะ แต่ก็ไม่เหมือนแผงประตู
คู่หน้า ตรงที่ ไม่ได้ทำช่องเก็บของพร้อมฝาปิดซ่อนไว้ แต่มีช่องเขี่ยบุหรี่ พร้อมฝาปิด
ซึ่งสามารถยกออกไปเททิ้งได้ มาให้แทน
S350 CDI Exclusive มีม่านไฟฟ้า มาให้ ทั้ง กระจกบังลมหลัง และบานหน้าต่างบน
ประตคู่หลังทั้งฝั่งซ้าย และขวา การใช้งาน ทำอย่างไร อ่านย่อหน้าข้างล่าง

เบาะนั่งด้านหลังนั้น เอาใจลูกค้าระดับเศรษฐี หรือแขกบุคคลสำคัญที่ใช้บริการรถคันนี้กัน
ในระดับพอประมาณ ยังไม่ถึงขั้น อลังการดาวล้านดวง อย่างรุ่น Final Edition แต่ก็ถือว่า
พอรองรับการใช้งานพื้นฐาน ในฐานะรถยนต์หรูได้แล้ว
ในตำแหน่งปกติ ทันทีที่เข้าไปนั่ง คุณจะสัมผัสได้ว่า เบาะค่อนข้างจม และลึกพอประมาณ
ในระดับที่บังคับให้คุณต้องนั่งหลังเกือบจะตรง ขณะที่ตำแหน่งของเบาะรองนั่งนั้น จะ
พอดีกับข้อพับของผม (สูง 171 เซ็นติเมตร) ในภาพรวม เบาะนั่งนุ่มสบายกว่าเบาะหลังของ
730 Ld F02 รุ่นก่อนปรับโฉม ชัดเจน แถมหนังที่หุ้มเบาะ ยังให้สัมผัสที่เนียน ละมุนกว่า
แต่ยังไม่ถึงขั้นของ Lexus LS460L พื้นที่เหนือศีรษะ ยังเหลืออยู่ นิดนึง ไม่มากนัก ราวๆ
1 ฝ่ามือแนวนอน
พนักศีรษะ พับเก็บได้ ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ทั้ง 2 ฝั่ง ยกเว้นตรงกลาง ที่พับได้ด้วยมือ มีมาให้
3 ตำแหน่ง เช่นเดียวกับเข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุด ครบทั้ง 3 ตำแหน่ง ตรงกลางของ
เบาะหลัง สามารถนั่งได้ แต่อาจลำบากนิดหน่อย เพราะตัวล็อกเข็มขัดนิรภัย จะทิ่มตำสีข้าง
อยู่บ้าง สำหรับคนตัวใหญ่
พนักวางแขน มีช่องวางแก้วน้ำ เลื่อนเก็บได้แบบลิ้นชัก และช่องถาดเก็บของ บุกำมะหยี่
สีดำ พร้อมฝาปิด อันเป็นพนักวางแขน ออกแบบมาให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง เหมาะสม
วางแขนได้สบายดี
เมื่อคุณปรับสวิชต์ บริเวณแผงประตูด้านข้างเพื่อเอนเบาะ จะพบว่า จริงๆแล้ว เบาะรองนั่ง
จะเลื่อนไปข้างหน้า ซึ่งเท่าบเป็นการบังคับให้พนักพิงหลัง ปรับเอนตามไปด้วยตัวของมัน
กันเองอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยเข้าใจว่า จะให้ก้านสวิชต์ สำหรับปรับตำแหน่งพนักพิงหลังมาให้
เหมือนอย่างรุ่นหรูกว่านี้มาทำไม ในเมื่อ พนักพิงเบาหลัง ไม่สามารถแบกปรับเอนต่างหาก
ได้เองเลย
ตำแหน่งเบาะนั่งขณะเอนหลัง นั่งกึ่งนอนได้สบายพอดีๆ พนักศีรษะปรับเอนได้ด้วยสวิชต์
ไฟฟ้า แต่ถ้ากดเลื่อนให้สูงขึ้น หรือต่ำลง ทำไม่ได้ นอกจากจะปรับแค่มุมเอนโน้มมาข้างหน้า
หรือเอนถอยหลังไปเท่านั้น
เบาะหลัง ทั้ง 2 ฝั่ง มาพร้อมกับระบบจำตำแหน่งเบาะ 3 ระดับ เช่นเดียวกับเบาะคู่หน้า รวมทั้ง
ยังมี ฮีตเตอร์อุ่นเบาะ 3 ระดับความร้อน และพัดลมเพิ่มความเย็นให้กับเบาะ 3 ระดับ มาให้
เช่นเดียวกัน สวิชต์ควบคุมทั้งหมด จะรวมอยู่ที่แผงประตูด้านข้าง ทั้ง 2 ฝั่ง เหมือนกับบาน
ประตูคู่หน้า
แต่ที่พิเศษกว่า ก็คือ สวิชต์ ควบคุมกระจกหน้าต่างบนบานประตูคู่หลังนั้น ไม่ว่าคุณจะนั่งฝั่ง
ซ้าย หรือขวา ก็สามารถ สั่งเลื่อนกระจกหน้าต่าง และชุดม่านไฟฟ้า ทั้งที่บานประตูคู่หลัง
และกระจกบังลมหลัง ขึ้นลงได้ อิสระ ทั้ง 2 ฝั่ง ตามใจชอบ โดยสวิชต์ หน้าต่างไฟฟ้า และ
สวิชต์ เปิด-ปิด ม่านไฟฟ้า ถูกรวมเข้าไว้เป็นชุดสวิชต์ เดียวกัน นั่นแปลว่า ถ้าคุณจะเปิด
หน้าต่าง ขณะที่ใช้งานม่านไฟฟ้าอยู่ คุณต้องกดสวิชต์ ให้ม่าน เลื่อนลงไปเก็บก่อน แล้ว
จึงกดสวิชต์ดเดิมอีกครั้ง เพื่อเลื่อนกระจกหน้าต่างลงมาจนสุดขอบประตู
ไม่เพียงเท่านั้น เฉพาะฝั่งผู้โดยสารหลัง ด้านซ้าย จะมีสวิชต์ไฟฟ้า เพิ่มขึ้นมา สำหรับ
เปลี่ยนให้แผงสวิชต์ ประตูฝั่งซ้าย สามารถควบคุม เลื่อนเบาะผู้โดยสารด้านหน้าฝั่งซ้าย
ขึ้นหน้า – ถอยหลัง หรือปรับเอนได้ ตามใจชอบ เพื่อเพิ่มพื้นที่วางขา สำหรับผู้โดยสาร
บนเบาะหลังซ้าย ได้ยืดแข้งยืดขาสบายอารมณ์ ยิ่งกว่าตำแหน่งปกติ
(เฉพาะรุ่น S300 Final Edition และ S500 Final Edition เท่านั้น ที่จะมีเบาะนวด
ปรับด้วยไฟฟ้า สำหรับผู้โดยสารด้านหลังทั้ง 2 ฝั่ง แบบ MultiContour มาให้)
มองขึ้นไปบนเพดาน มีกระจกแต่งหน้า พร้อมไฟส่องสว่าง ปิดด้วยพลาสติก ประดับด้วย
ผ้าชนิดเดียวกันกับเพดานหลังคา ส่วนบริเวณมือจับสำหรับโหนยึดเหนี่ยวรั้ง ยังมีไฟ
อ่านหนังสือ มาให้ใช้งานกันครบทั้ง 2 ฝั่งอีกด้วย
ความสบายในการนั่งบนเบาะหลังนั้น ยืนยันว่า ดีกว่า 730Ld รุ่นล่าสุด F02 LCI หรือ
รุ่นปรับโฉม Minorchage แล้ว ด้วยพื้นผิวของหนังหุ้มเบาะที่เนียนและสบายผิวเมื่อ
สัมผัสมากกว่า รวมทั้งตำแหน่งของเบาะนั่ง แม้ลูกเล่นปรับเบาะไม่เยอะเท่ากับ 730Ld แต่
S350 CDI ก็นั่งได้สบายกว่าอยู่ดี อย่างไรก็ตาม ถ้าเปรียบเทียบกับ Lexus LS460 L
แม้จะมีพื้นที่เหนือศีรษะ และความโปร่งสบายของห้องโดยสารด้านหลังมากกว่า
LS กระนั้น ภาพรวมแล้ว ยังต้องยอกให้เบาะนั่งของ LS ชนะเลิศไป ทั้งด้วยวัสดุ
ที่หุ้มเบาะ ซึ่งดีกว่ากันมาก แถมยังให้ความสบายด้วยเบาะนวดด้านหลัง ซึ่งทั้ง
S350 CDI และ 730 Ld ไม่มีมาให้

การเปิดฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง ทำได้จากการกดรีโมทกุญแจปลดล็อก หรือ
กดสวิชต์ที่มือจับ เหนือป้ายทะเบียนหลัง เมื่อยกขึ้นมา จะพบการเก็บงานเรียบร้อย
แม้แต่เสาค้ำฝาประตูหลัง ยังหุ้มพลาสติกมาให้ มีวัสดุ Recycle ซับเสียง แปะที่ใต้
ฝาประตูหลัง รวมทั้ง มีไฟทับทิม 2 ดวง ส่องสว่างยามค่ำคืน และมีแผงทับทิมแบบ
สามเหลี่ยมฉุกเฉิน มาให้ตามมาตรฐานของ Mercedes-Benz ช่องทางเข้ามีขนาด
ใหญ่โต แต่รุ่น S350 CDI Exclusive คันนี้ จะไม่มีระบบปิดฝาท้ายอัตโนมัติ อย่างที่
รุ่นอื่นๆจะมีมาให้
มองไปที่เปลือกกันชนล่าง จะเห็นปากท่อไอเสีย 2 ฝั่ง ออกแบบเป็นแบบสี่เหลี่ยม
ผืนผ้า เก็บงานได้ค่อนข้างดี ส่วนห่วงคล้องดึงตัวรถ จะซ่อนอยู่ในช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ
ที่มีฝาปิดครอบไว้นั่นละครับ

พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังมีขนาดใหญ่ขึ้นจาก W220 รุ่นก่อนหน้านี้เล็กน้อย ด้วย
ความกว้าง 91 เซ็นติเมตร สูง 45 เซ็นติเมตร เท่าเดิม แต่เพิ่มความลึกหรือยาวไปอยู่ที่
100 เซ็นติเมตร (W220 อยู่ที่เพียง 89 เซ็นติเมตร) ปริมาตรความจุ 506 ลิตร ตาม
มาตรฐาน VDA เยอรมัน ใส่ศพฝรั่งตัวโตๆ ได้ 2 ศพ แน่ๆ แต่ศพคนเอเซีย น่าจะได้ 3 ศพ
ผนังฝั่งซ้ายและขวา มีตาข่ายกั้น ไว้สำหรับวางข้าวของ เพื่อไม่ให้กลิ้งไปกลิ้งมาโดย
ไม่จำเป็น เมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้นมาเกี่ยวล็อกไว้กับยางขอบประตูห้องเก็บของ
ด้านหลัง จะพบยางอะไหล่ ขนาดพอประมาณ ติดตั้ง มาพร้อมเครื่องมือประจำรถ
และแม่แรง

แผงหน้าปัด ออกแบบมาให้ดูหรูหรา ร่วมสมัย แต่แบ่งแยกภาคแสดงข้อมูลไว้ครึ่งท่อนบน
ชัดเจน ส่วนด้านล่าง ดูเรียบง่าย สวิชต์ควบคุมในหลายๆอุปกรณ์ ถูกย้ายมาไว้ข้างลำตัวผู้ขับขี่
แผงหน้าปัดครึ่งท่อนบน บุด้วยหนัง ARTICO ส่วนครึ่งท่อนล่าง เป็นวัสดุแบบเดียวกับที่จะพบ
ใน Mercedes-Benz รุ่นอื่นๆ รุ่น S300 Exclusive และ S350 CDI Exclusive ตกแต่ง
แผงหน้าปัดด้วยแถบอะลูมีเนียมขึ้นเงา ประดับด้วยลายไม้ Dark Brown Eucalyptus (High
Gross) ส่วนโทนสีในห้องโดยสารของรถคันที่เราทดลองขับ จะเป็นสีเทา Alpaca Grey สลับ
กับ Basault Grey โดยใช้หนังแบบ 828 Passion Leather หุ้มเบาะ และแผงประตูข้าง
มองไปด้านบน แผงบังแดด มีกระจกแต่งหน้าพร้อมฝาปิดพับ และไฟส่องแต่งหน้ามาให้
ทั้ง 2 ฝั่ง มีช่องเก็บแว่นกันแดด บุด้วยผ้าสักกะหลาดสีดำด้านใน การควบคุมไฟส่องสว่าง
ภายในห้องโดยสาร ค่อนข้างน่ามึนหัว ไฟส่องแผนที่ 2 ตำแหน่ง อยู่ใต้กระจกมองหลัง
ไฟส่องสว่างหลัก มี 2 จุด คือด้านหน้า ใกล้กับแผงสวิชต์ควบคุม เหนืกระจกมองหลัง
และตรงกลาง เหนือศีรษะผู้โดยสาร การเปิด-ปิด ต้องอาศัยความจำตำแหน่งสวิชต์กัน
พอสมควร

จากขวา ไปซ้าย
Mercedes-Benz ยังคงรักษาเอกลักษณ์ ของตนในการจัดวางสวิชต์ปรับตำแหน่งเบาะนั่ง
ไว้ที่แผงประตูด้านข้าง ใน S-Class อย่างที่ได้บอกไปแล้ว เบาะนั่งทั้ง 4 ตำแหน่ง สามารถ
ปรับระดับได้ทั้งหมด จึงต้องมีแผงควบคุมไว้ที่บานประตูทั้ง 4 บาน
สวิชต์ล็อก และปลดล็อกบานประตู แยกออกมาเป็น 2 สวิชต์ ให้ดูหรูหรา และต่างทำหน้าที่
ของมันแยกต่างหากกันไปเลย มือจับประตู ก็ยังออกแบบในสไตล์เดียวกับ Mercedes-Benz
รุ่นอื่นๆ
สวิชต์กระจกหน้าต่างไฟฟ้าเป็นแบบ Auto One Touch กดหรือยกขึ้น ครั้งเดียว หน้าต่าง
จะเลื่อนขึ้น หรือ ลง ได้ในครั้งเดียว ครบทั้ง 4 บาน แถมสวิชต์กระจกหน้าต่างคู่หลัง นั้น
หากยกหรือกดขึ้นซ้ำอีกครั้ง จะเป็นการเลื่อนยกขึ้น – ยกออก ระบบม่านไฟฟ้า ที่ประตู
คู่หลัง
ใต้ช่องแอร์ฝั่งผู้ขับขี่ เป็นสวิชต์ เปิด-ปิดไฟหน้า แบบมือบิด อีกงานออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์
สวิชต์ชุดเดียว ควบคุมได้ทั้งไฟหรี่ ไฟต่ำ และไฟสูง รวมทั้งไฟตัดหมอกหน้าและหลัง (ใช้วิธี
ดึงสวิชต์มือบิดออกมา 1-2 จังหวะ เพื่อเปิดบช้งาน และดันมือบิดกลับเข้าไป เมื่อปิดการใช้งาน)
ถัดลงไปเป็น สวิชต์ ของระบบเบรกมือไฟฟ้า กดเข้าไป เพื่อสั่งให้เบรกมือทำงานอัตโนมัติ
และใช้นิ้วเกี่ยวสวิชต์ดึงเข้าหาตัวเบาๆ เมื่อต้องการจะปลดระบบออก นอกจากนี้ยังมีโหมด
HOLD ไว้ใช้งานในกรณีที่คุณจอดติดไฟแดง แต่ไม่อยากเหยียบคาไว้ที่แป้นเบรกนานๆ
หลังจากคุณชะลอรถจนจอดสนิทนิ่งแล้ว ให้เหยียบแป้นเบรกลงไปลึกจมสุด 1 ครั้ง ระบบ
จะเข้าสู่โหมด HOLD ไว้ให้ จากนั้น ก็สามารถถอนเท้าออกจากแป้นเบรกได้ทันที ถ้าหาก
ต้องการนำรถเคลื่อนตัวไปข้างหน้า หลังได้สัญญาณไฟเขียวที่สี่แยก มี 2 วิธีที่จะสั่งเลิก
การทำงาน คือ เหยียบเบรกลงไปจนสุดอีกครั้งแล้วถอนออก หรือไม่ก็เหยียบคันเร่งเพื่อ
ออกรถไปได้เลย
พวงมาลัย 4 ก้าน วงใหญ่ กว่า Mercedes-Benz คันอื่นๆ ที่ผมเคยเจอมา หากเป็นรุ่น S300
และ S350 CDI ทุกรุ่น จะหุ้มด้วยหนัง มีเฉพาะรุ่น S500 Final Edition เท่านั้น ที่จะหุ้มด้วย
หนัง สลับลายไม้ พร้อมสวิชต์ Multi-Function ฝั่งขวาควบคุมการทำงานของทั้งระบบเสียง
ทั้งการปรับเสียงดัง-เบา หรือสั่งการโทรศัพท์ ผ่านระบบ Bluetooth ส่วนฝั่งซ้าย ไว้ควบคุม
จอแสดงข้อมูลบนชุดมาตรวัด ทั้งการเปลี่ยนTrip Meter การเปลี่ยนเพลง เปลี่ยนช่องวิทยุ
หรือเข้าโปรแกรมเลือกตั้งค่าต่างๆของตัวรถ Vehicle Setting ส่วนระบบสั่งการด้วยเสียง
ของรถคันนี้ แม้จะมีสวิชต์มาให้ แต่ใช้การไม่ได้
ฝั่งขวาของคอพวงมาลัย เป็นที่อยู่อาศัยของคันเกียร์ แบบ JoyStick กระดกขึ้นลง เป็นหลัก
ถ้าคุ้นเคยแล้ว จะใช้งานง่าย แต่ถ้าขึ้นมาขับใหม่ๆ ต้องปรับตัว ด้วยความงุนงงกันทั้งนั้น
ถ้าจะเข้าเกียร์ D ให้กระดิกก้านสวิชต์ลงมาจนสุด แล้วปล่อย หากจะเข้าเกียร์ N กระดก
ก้านสวิชต์ขึ้น ครั้งเดียวสั้นๆ พอ ไม่ต้องยกขึ้นจนสุด แต่ถ้าจะเข้าเกียร์ R ต้องรอให้รถ
จอดสนิทก่อน แล้วยกก้านสวิชต์ ขึ้นจนสุด และหากจะเข้าเกียร์ P เพื่อจอดรถ กดปุ่มที่
หัวก้านสวิชต์เข้าไปเลย ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอแนะนำว่า เมื่อจะเปลี่ยนเกียร์ เพื่อความแน่ใจ
ว่าเข้าเกียร์ถูกตำแหน่ง ควรมองดูสัญญาณบอกตำแหน่งเกียร์บนมาตรวัดความเร็วทุกครั้ง

ฝั่งขวาของคอพวงมาลัย เป็นที่อยู่อาศัยของคันเกียร์ แบบ JoyStick กระดกขึ้นลง เป็นหลัก
ถ้าคนเคยแล้ว จะใช้งานง่าย แต่ถ้าขึ้นมาขับใหม่ๆ ต้องปรับตัว ด้วยความงุนงงกันทั้งนั้น
ฝั่งซ้ายของก้านพวงมาลัย จากด้านบนลงล่าง เป็นก้านสวิชต์ควบคุมระบบรักษาความเร็วคงที่
Cruise Control และระบบ จำกัดความเร็ว SPEEDTRONIC การใช้งาน ก็เหมือนกันกับบรรดา
Mercedes-Benz รุ่นอื่นๆ คือ ถ้าจะเปิดระบบใช้งาน ก็กระดิกก้านสวิชต์เข้าหาตัว เพื่อล็อก
ความเร็ว ที่ต้องการ หรือดันก้านสวิชต์ เพื่อต้องการยกเลิกระบบ ยกก้านสวิชต์ขึ้นเพื่อเพิ่ม
ความเร็ว กดก้านสวิชต์ลงเพื่อลดความเร็ว แต่ถ้าต้องการเปิดใช้ SPEEDTRONIC ก็กดลงไป
ที่หัวก้านสวิชต์ จนไฟสีเหลืองอำพันติดสว่างขึ้นมา ขั้นตอนที่เหลือ เหมือนกันกับการใช้
ก้านสวิชต์ ในระบบ Cruise Control ที่เขียนไปข้างบนนี้ ถ้าจะยกเลิกระบบจำกัดความเร็ว
ให้กดลงไปที่หัวก้านสวิชต์อีกครั้ จนไฟเหลืองอำพันดับลง
ถัดลงมา คือก้านสวิชต์หลัก ควบคุม ไฟเลี้ยว ไฟสูง และกระพริบไฟสูง เหมือนรถทั่วไป
หัวสวิชต์ บิดหมุน เพื่อเปิดการทำงาน ของระบบใบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ พร้อม Rain Sensor
วัดปริมาณน้ำฝนแบบ 2 ระดับ ซึ่งเมื่อใช้งานจริงตอนฝนตก ก็ทำงานฉลาดแสนรู้ดี
ก้านล่างสุด ไว้ปรับระดับพวงมาลัย ให้สูง – ต่ำ และระยะใกล้ – ห่าง จากตัวผู้ขับขี่ด้วยไฟฟ้า

ชุดมาตรวัด มีเข็มความเร็วขนาดใหญ่ อยู่ตรงกลาง ส่วนมาตรวัดรอบ อยู่ฝั่งขวา จอภาพ
ฝั่งซ้าย มีทั้งมาตรวัดปริมาณน้ำมันในถัง และมาตรวัดอุณหภูมิน้ำในระบบหล่อเย็น ตรงกลาง
เป็นจอ Multi-Information Display ส่วนแถบ Menu ที่ต้องใช้สวิชต์ฝั่งซ้ายบน
พวงมาลัยบังคับควบคุม ถูกเลื่อนลงมาด้านล่างสุด และยังคงเลือกเปลี่ยนข้อมูลได้ ทั้ง
มาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ความเร็วเฉลี่ย ระยะทางที่น้ำมันในถังยังเหลือ
พอให้แล่นต่อไปได้ ตั้งแต่ออกรถ หรือตั้งแต่ กดปุ่ม Reset เพื่อตั้งค่า เซ็ต 0 บน Trip
Meter ที่มีมาให้แค่ Trip A อย่างเดียว ไม่มีแถม Trip B ทั้งสิ้น มีมาตรวัดอุณหภูมิ
ภายนอกรถ และจอแสดงข้อมูล แจ้งเตือนของระบบต่างๆ
มีทั้งระบบ ช่วยเตือนความดันลมยาง ระบบเตือนเพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ASSYST PLUS
ระบบเตือนอาการเหนื่อยล้าจากการขับขี่ ATTENTION ASSIST หรือที่ชาว Mercedes-Benz
เรียกว่า “ระบบ Starbuck” คือ เมื่อขับรถมาได้นานสักพักใหญ่ หากไม่ได้หยุดพักต่อเนื่องกัน
เป็นเวลานานๆแล้ว ระบบจะส่งสัญญาณเตือน เป็นรูป แก้วกาแฟ เพื่อเตือนว่า ถึงเวลาพักรถ
และพักคนขับกันได้แล้วนะ ในระยะหลัง ระบบนี้ เริ่มพบได้ใน Mercedes-Benz หลายๆรุ่น
มาตรวัดความเร็วแบบตัวเลข Digital แถมยังเป็นหน้าจอ แสดงการทำงานของชุดเครื่องเสียง
ได้ทั้งภาษาอังกฤษ เยอรมัน กับภาษาอะไรก็ตามที่ต้องใช้ตัวอักษร A-Z และญี่ปุ่น (ได้ทั้งตัว
ทับศัพท์อังกฤษ คาตาคานะ ฮิรางานะ และตัวอักษรจีน คันจิ) ส่วนภาษาไทย จีน เกาหลี ระบบ
อ่านไม่ได้ ครับ

จากฝั่งซ้ายเข้ามาตรงแผงควบคุมกลาง พื้นที่วางแขน สามารถยกขึ้นเพื่อเป็นช่องเก็บของได้
เหมือนเช่นแผงประตูฝั่งผู้ขับขี่ ส่วนช่องเก็บของพร้อมฝาปิด Glove Compartment นั้น มี
ขนาดใหญ่พอให้ใส่เอกสารประจำรถ รวมทั้งข้าวของเล็กๆน้อยๆ
ช่องแอร์คู่กลาง เป็นแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า แนวยาว ดูสวยงาม และคั่นกลางด้วยนาฬิกา อะนาล็อก
ถัดลงมาเป็นสวิชต์ควบคุมเครืองปรับอากาศ แบบ แยกฝั่ง ซ้าย -ขวา หน้า -หลัง ในช่วงแรกนั้น
การเรียงสวิชต์ไว้ติดกันเป็นพรืดแบบนี้ ทำให้ใช้งานยากลำบาก เอาเรื่อง แต่อย่างไรก็ตาม การ
แสดงผลการทำงานของเครื่องปรับอากาศ บนจอมอนิเตอร์ ก็ช่วยลดความปวดหัวไปได้มาก
ด้านความบันเทิง ในรุ่นอื่นๆ จะมีระบบ COMAND APS พร้อมวิทยุ AM/FM เครื่องเล่น DVD
6 แผ่น ระบบเสียง Pro-Logic 7 จาก Harman Kardon พร้อมจอโทรทัศน์ สำหรับผู้โดยสารคู่หลัง
พร้อม ชุดควบคุม หูฟัง และรีโมทคอนโทรลไร้สาย รวมทั้งระบบนำทาง GPS Navigation System
แต่ใน S350 CDI Exclusive จะมีเพียงแค่ สวิชต์ Comand Controller มาให้ หมุนควบคุมการทำงาน
ของชุดเครื่องเสียง ประกอบด้วย วิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD/DVD ซ่อนอยู่ในฝาปิดใต้
สวิชต์เครื่องปรับอากาศ อยู่เหนือ ช่องวางของแบบมีฝาปิด เลื่อนได้
มองลงมายังด้านข้างผู้ขับขี่และผู้โดยสาร จะพบแผงสวิชต์ต่างๆมากมาย แถวบนจากซ้ายไปขวา
เป็นสวิชต์ เลือกจะเล่นแผ่น DISC หรือเปิดวิทยุ สวิชต์ Back ย้อนกลับไปยัง Menu บนหน้าจอ
ก่อนหน้าปัจจุบัน ไฟฉุกเฉิน ระบบปรับเบาะดันหลังต่างๆ แสดงการทำงานบนหน้าจอมอนเตอร์
และสวิชต์ เลือกปรับระบบนำทาง หรือโทรศัพท์ (ในรุ่น S350 CDI Exclusive ไม่มีระบบนำทาง
มาให้ ดังนั้น จึงใช้งานได้แต่ฟังก์ชัน โทรศัพท์ เท่านั้น)
ฝั่งขวา เป็นสวิชต์ เปิด-ปิดวิทยุ และสวิชต์แบบหมุน Toggle ปรับระดับเสียง และสวิชต์เลือก
เมนูระบบเครื่องปรับอากาศ ส่วนฝั่งซ้าย จะเป็นสวิชต์ เลือกเมนูของเกียร์อัตโนมัติ สวิชต์พับ
พนักศีรษะด้านหลัง ในกรณีไม่มีผู้โดยสารนั่งอยู่ และสวิชต์ม่านไฟฟ้าที่กระจกบังลมหลัง
เมื่อเปิดฝาที่อุ้งมือออก จะเป็นสวิชต์สำหรับระบบโทรศัพท์ในรถ