ทำไมมาทำบทความเอาป่านนี้?
รีวิวของรถรุ่นนี้คลอดช้าไปหรือเปล่า?
ก็คงจะถือได้ว่าช้าไปครับ ช้ากว่าที่คิดไว้มากกกกกกกกก
ช้าก่อน! รีวิวนี้ ไม่ได้อยู่ในคิวของ บรรดารีวิวที่ถูกดองอยู่ และกำลังทะยอยคลอดออกมา
สู่สายตาคุณผู้อ่าน มาก่อนเลยนะ!
สงสัยกันละสิ ว่าทำไม ผมถึงยังดันทุรังเข็นบทความรีวิว รถยนต์รุ่นนี้ ออกมาให้อ่านกัน
ในวันที่ผู้คนทั้งโลก ได้เห็นรูปโฉมใหม่ของ S-Class W222 กันไปหมดแล้ว?

เหตุผลก็คือ….
ตั้งแต่เกิดมา ชีวิตผม มีโอกาสลองขับ S-Class เพียงแค่ 2 ครั้งในชีวิตเท่านั้น และสั้นๆ มากๆ
ครั้งแรก รุ่น W126 รถยนต์ของ น้องที่เคยรู้จักกันคนหนึ่ง ซึ่งหายไปจากชีวิตผมเรียบร้อยแล้ว
ช่วยเขาถอยหลังเข้าจอด บนลานจอดรถของ Central ลาดพร้าว เมื่อ…ผมว่า มี 10 ปี ได้แล้วมั้ง
ครั้งสุดท้าย W221 นี่ละ แต่เป็นรุ่น S300 ประกอบในประเทศ และเป็นการลองขับสั้นมากๆ
ในงาน Mercedes-Benz Driving Experience บนพื้นที่ลานอเนกประสงค์ กองพันทหารราบ
ที่ 11 รักษาพระองค์ เมื่อราวๆ ต้นปี 2008 แค่เหยียบคันเร่ง พุ่งไป และหักหลบ กรวย เบรก
กระทันหัน แค่นั้น จบ!
เพียงแค่นั้น ผมจะได้รู้จักอะไรจากตัวรถมันบ้างละเนี่ยยยยย?
เวลาผ่านไป จนผมลาออกจากรายการวิทยุแห่งเดิม มาเปิด Website ของตัวเอง ในรอบ 4 ปี
ที่ผ่านมา ก็เคยมีคุณผู้อ่านถามไว้เมื่อนานมาแล้วว่า ผมจะทำบทความ Full Review ของ เจ้า
ยักษ์สุดหรูรุ่นนี้บ้างหรือเปล่า ตอนนั้น ผมได้แต่บ่ายเบี่ยง
เพราะยังไม่แน่ใจว่า จะมีโอกาสได้ยืมหรือไม่ อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมา Mercedes-Benz รุ่นอื่นๆ
ที่น่าสนใจกว่าในสายตาคุณผู้อ่าน ถูกเลือกขึ้นมา เพื่อติดต่อยืมรถมาทดลองขับ ทำบทความ แล้ว
นำเสนอกันไปก่อน หลายต่อหลายรุ่น
ความคิดอยากจะยืม S-Class มาทดลองขับ อยู่ในหัวผมมาตลอด แต่ยังไม่สบโอกาสเสียที

จนกระทั่ง ช่วงปลายเดือนเมษายน – ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จู่ๆ ผมก็ได้รับทราบว่า
จะได้มีโอกาส ลองขับ S-Class รุ่นใหม่ล่าสุด W222 ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อ 15 พฤษภาคม 2013
ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ กันเลย
(ขอยังไม่บอกว่าเป็นที่ไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร แต่เดี๋ยวคุณผู้อ่าน ก็จะเห็นเอง)
ดังนั้น ในเมื่อ ผมยังไม่เคยลองขับ S-Class รุ่นปัจจุบันอย่างจริงจัง ทาง Mercedes-Benz
Thailand ก็เลย Lock คิวรถยนต์ Demo ไว้ให้ผมยืมมาลองขับ และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เพื่อ
จะได้จดจำสัมผัส ประสบการณ์และความรู้สึกที่รับสัมผัสจากตัวรถสู่ปลายประสาทส่วนต่างๆ
ของร่างกาย
และรุ่นที่ได้ลองขับนั้น เป็นรุ่นที่จะทำให้ผม เบาใจในเรื่องค่าใช้จ่ายในการทดลองขับได้
อย่างดียิ่ง เพราะมันเป็นรุ่น S350 CDI อันเป็นรุ่นที่ใช้ขุมพลัง Diesel Turbo Common-Rail
ซึ่งวางใจได้ในเรื่องความประหยัด และอัตราเร่งในช่วงออกตัวที่จะพาคุณพุ่งปรู๊ดออกไป
อย่างรวดเร็ว
แม้จะเป็นรุ่น Executive อันเป็นรุ่นตกแต่งปานกลาง ยังไม่ถึงกับ Full Option เหมือนรุ่น
Final Edition อันเป็นรุ่นสั่งลา ที่คลอดออกมาก่อนหน้านี้ไม่นานนัก แต่ระดับความหรูก็
ใกล้เคียงกันอยู่
ไหนๆ ก็ไหนๆ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา Headlightmag.com ของเรา ก็พาคุณไปสัมผัสกับรถยนต์
หลากรุ่นในแบบ รายแรกในเมืองไทย (First report in Thailand) แถมบางครั้งยังมีบทความ
ในแบบ รีวิวแรกในโลก (World First report) มาให้ได้อ่านกันตลอด
ฉะนั้น คราวนี้ ก็ขอนำคุณผู้อ่านมาพบกับ Final report in the World หรือ บทความรีวิวสุดท้าย
ของรถยนต์รุ่นที่ยังขายอยู่ในช่วงบั้นปลายอายุตลาด ก่อนที่จะถึงเวลาปลดระวางไปสู่การเป็น
หนึ่งในตำนานความหรูตระกูล S-Class จากค่ายรถยนต์ตราดาว ที่ยืนหยัดยาวนานในฐานะ
ผู้นำอันดับ 1 ของกลุ่มตลาดรถยนต์ระดับหรู ทั่วโลก กันเสียที

Merccedes-Benz เคยให้คำจำกัดความเรื่องชื่อรุ่นของ S-Class ซึ่งเขียนเป็นภาษาเยอรมันได้ว่า
“S-Klasse” ย่อมาจาก “Sonderklasse” หรือ “special class” อันเป็นนิยามที่ให้ความรู้สึกไปใน
เชิงที่ว่า “a class of its own”
ถึงแม้ ประวัติความเป็นมาของตระกูลรถยนต์รุ่นหรูหราที่สุดของค่ายรถยนต์ตราดาว ซึ่งแยกตัว
ออกมาจากตระกูล E-Class จะยืนยาวมากว่า 50 ปีแล้ว แต่อันที่จริง Mercedes-Benz เริ่มเรียก
ใช้ชื่อ S-Class กับรถยนต์รุ่นนี้ ตั้งแต่ปี 1972 หรือเมื่อ 41 ปีที่ผ่านมา
ตลอดระยะเวลาดังกล่าว Mercedes-Benz S-Class กลายเป็นผู้กำหนดมาตรฐานใหม่ให้กับคำว่า
“รถยนต์ระดับหรู” ในใจของผู้คนทั่วโลก ด้วยยอดขายกว่า 2.7 ล้านคัน จนถึงปี 2005 อันเป็นปี
ที่ส่วนแบ่งการตลาดของ S-Class มีมากถึง 30% เป็นอันดับ 1 ในบรรดายอดขายรถยนต์หรูระดับ
Luxury Full Size ทั่วโลก
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อใดที่มีการเปิดตัว S-Class ทุกรุ่น นักนิยมรถยนต์ทั่วโลก จะคาดหวังได้ถึง
นวัตกรรมใหม่ ได้เสมอ เพราะ Mercedes-Benz มักจะสร้างความตื่นตาตื่นใจ ด้วยการติดตั้ง
ระบบ เทคโนโลยี หรืออุปกรณ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาด เป็นครั้งแรก ณ ช่วงเวลาที่แต่ละรุ่น เปิดตัว
ถือได้ว่าเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยียานยนต์ ทั้งในด้านความสะดวกสบาย และความปลอดภัย
อย่างแท้จริงมาตลอด

รุ่นแรก W116 เริ่มต้นการพัฒนาเมื่อปี 1966 รูปลักษณ์ภายนอก ได้รับการอนุมัติในปี 1969 และ
เปิดตัวออกสู่ตลาดครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 1972 ถือเป็น Mercedes-Benz รุ่นแรก ที่ริเริ่มนำ
สารพัดเทคโนโลยีการออกแบบด้านความปลอดภัย มาติดตั้งอย่างเต็มรูปแบบ มีให้เลือกทั้งรุ่น
280S (รุ่นเดียวเท่านั้นที่ใช้เครืองยนต์ คาร์บิวเรเตอร์) 280 SE / SEL , 350 SE / SEL / 450 SE/
SEL รวมทั้งรุ่น 300SD สำหรับตลาดส่งออกเฉพาะสหรัฐฯ และแคนาดา เท่านั้น
Highlight สำคัญ ของรุ่นนี้ อยู่ที่ รุ่น 450 SEL 6.9 เปิดตัวเมื่อปี 1975 มาพร้อมขุมพลัง V8 SOHC
16 วาล์ว 6,834 ซีซี (6.9 ลิตร) กระบอกสูบ x ช่วงชัก 107 x 95 มิลลิเมตร หัวฉีด BOSCH K-Jetronic
ถือว่าเป็นเครื่องยนต์ ความจุกระบอกสูบ ใหญ่ที่สุด ในรถยนต์นั่งของ Mercedes-Benz ช่วงหลัง
สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังสูงสุด 286 แรงม้า (PS) ที่ 4,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 549 นิวตันเมตร
(55.94 กก.-ม.) ที่ 3,000 รอบ/นาที (สเป็กตลาดอเมริกัน จะถูกลดความแรงลงเหลือ 250 แรงม้า (HP)
แงบิดสูงสุด เหลือ 488 นิวตันเมตร / 49.7 กก.-ม. ณ รอบเครื่องยนต์เท่ากันทั้งคู่ ด้วยเหตุผลจากการ
เข้มงวดของกฎหมายควบคุมมลพิษในตอนนั้น)
450 SEL 6.9 ติดตั้งระบบกันสะเทือนแบบลูกตุ้ม Hydropneumatic แบบเดียวกับที่คนไทยรู้จักกันดี
จากรถยนต์ Citroen ในสมัยก่อน อีกทั้งยังเป็น”รถยนต์รุ่นแรกในโลก”ที่เริ่มมีระบบป้องกันล้อล็อก
ขณะเบรกกระทันหัน ABS (Anti-Lock Braking System) มาให้เลือกติดตั้งเป็นอุปกรณ์พิเศษ เมื่อปี
1978 450 SEL 6.9 ผลิตออกมาเพียง 7,380 คัน จากยอดผลิตของรุ่น W116 ทั้งหมดจนสิ้นอายุตลาด
รวม 473,035 คัน

รุ่นที่ 2 W126 เริ่มต้นโครงการพัฒนาเมื่อเดือนตุลาคม 1973 ล่วงเข้าสู่เดือนธันวาคม 1975 จึงเริ่มมี
แบบจำลองออกมาให้ผู้บริหารตัดสินใจ แต่งานออกแบบได้รับการอนุมัติเมื่อปี 1976 ส่วนรุ่น Coupe
เริ่มต้นออกแบบทันทีที่รุ่น Saloon ได้รับอนุมัติ และเสร็จสิ้นลงในปี 1977 มีการจดสิทธิบัตร และ
ลิขสิทธิ์งาน ออกแบบ เมื่อ วันที่ 3 มีนาคม 1977 ในเยอรมันี ตามด้วย ในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่
6 กันยายน 1977 เวอร์ชันจำหน่ายจริง เปิดตัวในงาน Frankfurt Motor Show เดือนกันยายน 1979
ก่อนที่รุ่นตัวถัง Coupe (SEC) จะตามมาในเดือนกันยายน 1981
รูปลักษณ์ภายนอก เป็นผลงานของ Bruno Sacco นักออกแบบผู้มีชื่อเสียงของ Mercedes-Benz
ในตอนนั้น เน้นความลู่ลมมากขึ้นด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ ลดลงจาก Cd.0.41
ในรุ่น W116 เหลือ Cd 0.36 เพื่อช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลงทางอ้อม
ช่วงแรกที่เปิดตัว มีให้เลือกทั้งรุ่น 280 S,280 SE / SEL , 300 SD Diesel ,380 SE / SEL,500 SE / SEL
จากนั้น พอถึง ปี 1985 มีการปรับโฉม Facelifted และปรับทัพขุมพลังกันใหม่ โดยตัดรุ่นย่อยขนาด
ต่ำกว่า 5.0 ลิตรเดิมๆ ทิ้งไป แทนที่ด้วยรุ่น 260 SE ,300 SE / SEL, 300 SDL Diesel ,350 SD/SDL
Diesel 420 SE / 420 SEL และรุ่นแรงสุด 560 SE / SEL
รุ่นที่แพงสุดของ S-Class W126 ตัวถัง Saloon คือรุ่น 560 SEL คลอดในปี 1985 วางขุมพลัง M117.968
บล็อก V8 SOHC 16 วาล์ว 5,547 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 96.5 x 94.8 มิลลิเมตร มีทั้ง 9.0 หรือ 10.0 : 1
เวอร์ชันแรงสุด อยู่ที่ 299 แรงม้า (PS) ที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 456 นิวตันเมตร (46.4 กก.-ม.) ที่
3,750 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ มีระบบกันสะเทือน Hydropneumatic
แบบ Self-leveling รวมทั้งระบบล็อกความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
W126 ถือเป็นรถยนต์แบบแรก ที่ถูกติดตั้ง ถุงลมนิรภัย แบบ SRS (supplemental restraint systems)
เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เข็มขัดแบบ Pretensioners และ ระบบควบคุมเสถียรภาพ Traแktion control
S-Class W126 เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดอายุตลาด ในปี 1991 ยกเว้นใน South Africa ที่ยังคงมีการผลิต
ต่อไปจนถึงปี 1994 ด้วยยอดผลิตรวมทั้งสิ้น 892,123 คัน แบ่งเป็นรุ่น Saloon 818,066 คัน (รุ่น Diesel
รวมอยู่ในนี้ เป็นตัวเลข มากถึง 97,546 คัน) ส่วนรุ่น Coupe มียอดผลิตรวม 74,060 คัน W126 กลายเป็น
S-Class ที่ประสบความสำเร็จด้านยอดผลิตและยอดขายมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ของ Mercedes-Benz
ตลอดกาล ตราบจนถึงทุกวันนี้

รุ่นที่ 3 W140 เริ่มต้นการพัฒนาเมื่อปี 1981 ทีมออกแบบ ทำงานในช่วงปี 1982 – 1986 ภายใต้การ
นำของ Olivier Boulay รูปลักษณ์ทั้งคัน ได้รับการอนุมัติในปี 1987 และมีการจดทะเบียนลิขสิทธิ์
เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1988 แต่ในอีก 6 เดือนให้หลัง Bruno Sacco นักออกแบบชื่อดังประจำค่าย
เข้ามารับช่วงเป็นหัวหน้าทีมออกแบบ และพวกเขาสั่งให้มีการออกแบบกระจังหน้าขึ้นใหม่ทั้งหมด
แถมยังต้องทำกระจังหน้าแบพิเศษ สำหรับรุ่น Top Model อีกด้วย เมื่อรวมเข้ากับความล่าช้าในการ
พัฒนาเครื่องยนต์ V12 รวมทั้งปรับปรุงระบบเบรกให้ดีขึ้น ทำให้การเปิดตัว ล่าช้ากว่าเดิมถึง 18 เดือน
แถมยังทำให้ต้นทุนการพัฒนา บานปลายจนว่ากันว่า แตะระดับ 1 พันล้านยูโร และกลายเป็นรถยนต์
Mercedes-Benz รุ่นสุดท้าย ซึ่งรู้กันดีว่า Over engineer หรือ ใส่ใจในงานวิศวกรรมมากเกินไปจน
ทำให้ต้นทุนสูงโดยไม่จำเป็น Chief Engineer ที่ชื่อ Wolfgang Peter จึงต้องพ้นจากตำแหน่งไปเพื่อ
รับผิดชอบกับเรื่องนี้ ขณะที่กำหนดเริ่มผลิตจำต้องเลื่อนจากเดือนตุลาคม 1989 กลายเป็นว่า รถยนต์
Prototype ล็อตแรก เริ่มผลิตเพื่อทดสอบช่วงต้นเดือนมิถุนายน 1990 – มกราคม 1991
ภาพถ่ายชุดแรก เผยแพร่ถึงมือสื่อมวลชน เมื่อเดือนธันวาคม 1990 แต่เปิดตัวสู่สาธารณชนอย่างเป็น
ทางการครั้งแรกในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 1991 การผลิตขายจริง เริ่มขึ้นในเดือน
เมษายน 1991 ช่วงแรก มีให้เลือกทั้งรุ่น ตัวถังสั้น SE และ ตัวถังยาว SEL ได้แก่ 300 SE / SEL กับ
300 SD ขุมพลัง Diesel Turbo 400 SE/SEL 500 SEL และรุ่นหรูสุด 600 SEL วางขุมพลัง M120
บล็อก V12 สูบ DOHC 48 วาล์ว 5,987 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 80.2 x 89 มิลลิเมตร กำลังอัด 10:1
408 แรงม้า (HP) ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 580 นิวตันเมตร (59.1 กก.-ม.) ที่ 3,800 รอบ/นาที
เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ จาก ZF S-Class ทุกรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง มาพร้อมระบบป้องกันล้อหมุน
ฟรีทิ้ง ขณะออกตัวบนทางลื่น ASR และช่วงล่างแบบ ADS (Adaptive Damping System) ที่ช่วย
เพิ่มความหนืดของช็อกอัพ ขณะใช้ความเร็วสูง เมื่อขับหวาดเสียว หรือเมื่อเสียการทรงตัว มี
ถุงลมนิรภัยคู่หน้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่น
แม้ว่าขนาดตัวถังจะใหญ่โต ชนิดที่เรียกว่า พลิกโฉมจาก W126 โดยสิ้นเชิง จนชาวยุโรป วิจารณ์
ว่ามันมโหฬารเกินไป แต่ชาวอเมริกัน และเศรษฐีชาวเอเซีย กลับมองว่า มันลงตัวดีแล้ว และเป็น
เครื่องบ่งบอกสถานภาพของผู้ครอบครองได้ดียิ่งขึ้น อย่างที่ W126 ยังไม่อาจทำได้เทียบเท่า และ
ขนาดตัวถังอันมหึมานี่เอง ที่ทำให้คนไทยตั้งชื่อเล่นให้รถรุ่นนี้ว่า “ปลาวาฬ” (เพราะมันใหญ่โต
ดุจปลาวาฬ นั่นเอง)
เดือนมิถุนายน 1993 Mercedes-Benz ประกาศ การเรียกชื่อรุ่นรถยนต์ของตนเองใหม่ทั้งระบบ
เริ่มต้นจาก C-Class W202 นั่นทำให้ S-Class จะต้องเปลี่ยนชื่อเรียกรุ่นใหม่ทั้งหมด กลายเป็น
S320 S420 S500 และ S600 หลังจากนั้น การปรับโฉม Minorchange / Facelifted มีขึ้นเมื่อ
เดือนมีนาคม 1994 ในงาน Geneva Motor Show และออกสู่ตลาดในเดือนเมษายน 1994 ส่วน
สีตัวถัง Two Tone (กาบพลาสติกด้านข้างประตู คนละเฉดกับสีตัวถังด้านบน) ถูกยกเลิกในรุ่นปี 1995
แม้จะเต็มไปด้วยเรื่องดีๆเยอะ แต่เรื่องเศร้าๆ ก็มีอยู่บ้าง 31 สิงหาคม 1997 เจ้าหญิง Diana และ
Dodi Al Fayed โดยสารใน S-Class ที่ขับโดย Henri Paul ด้วยความเร็วสูงเกินไป จนเกิดอุบัติเหตุ
ในอุโมงค์ Pont de l’Alma กรุง Paris ประเทศฝรั่งเศส และจากไปอย่างไม่มีวันกลับ มีการวิเคราะห์
กันว่า หากเจ้าหญิง Diana คาดเข็มขัดนิรภัย จะมีโอกาสรอดมากกว่านี้
S-Class W140 ยุติบทบาทลงในปี 1998 แต่ยังทำตลาดต่อในบางประเทศ จนถึงปี 2000 ด้วยยอด
ผลิตสะสมรวมทั้งหมด 432,732 คัน (ตัวถัง Sedan ทั้งช่วงสั้นและยาว รวม 406,717 คัน ส่วนตัวถัง
Coupe 2 ประตู หรือ S-Class Coupe มียอดผลิต 26,022 คัน)

รุ่นที่ 4 W220 เริ่มต้นโครงการพัฒนาเมื่อปี 1992 งานออกแบบ โดย Steve Mattin (ต่อมาย้ายไป
อยู่ Volvo แล้วก็ลาออกหลังจากนั้นอีก) ถูกคัดเลือกในปี 1994 และถูกปรับปรุงจนได้รับการอนุมัติ
สู่การผลิตจริงในช่วงครึ่งแรกของปี 1995 หลังผ่านขั้นตอนการทดสอบและเตรียมการผลิตยาวนาน
W220 ก็ถูกเผยโฉมส่สายตาขาวโลก เมื่อเดือนมิถุนายน 1998 แต่เริ่มขึ้นสายการผลิตจริงได้ เมื่อ
วันที่ 13 สิงหาคม 1998
S-Class รุ่นที่ 4 ยังคงมี 2 ระดับความยาวมาตรฐานจากโรงงาน (ไม่นับรวมรถกันกระสุน และรุ่น
Limousine แต่งพิเศษ อย่าง Pullman) โดยรุ่นฐานล้อยาว จะมีตัวอักษร L กำกับไว้ท้ายชื่อรุ่น
เช่น S320 L CDI เป็นต้น
W220 มีขนาดตัวถังเล็กลงกว่า W140 ชัดเจน ไม่ว่าจะเอาตลับเมตรมาวัด หรือคาดคะเนด้วยสายตา
แต่พื้นที่ภายในห้องโดยสารกลับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ทว่า อีกประเด็นที่เพิ่มจำนวนขึ้นเยอะไม่แพ้
พื้นที่โดยสาร คือ บรรดานวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ช่วงล่างแบบ AIRMATIC พัดลมระบายอากาศ ฝัง
ในเบาะนั่ง Active Ventilated Seats ระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System พร้อม
ระบบควบคุมความบันเทิงในรถแบบ COMMAND ระบบควบคุมความเร็ว และระยะห่างจากรถ
คันข้างหน้า Distronic Cruise Control หรือแม้แต่ระบบตัดการทำงานของกระบอกสูบที่ไม่จำเป็น
Active Cylinder Control ฯลฯ อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในรถที่มากขึ้น นั่นหมายถึงชิ้นส่วนด้านไฟฟ้า
จะเยอะขึ้นกว่ารุ่นเดิม ซึ่งเพิ่มจาก มอเตอร์ 60 ชิ้น และ หัวเชื่อม Connectors 4,000 จุด ในรุ่น
W140 มาเป็น มอเตอร์ 124 ชิ้น และลดจำนวนหัวเชื่อม Connectors เหลือ 3,000 จุด
รุ่นท็อปสุดในกลุ่มที่เน้นความหรู คงต้องเป็น S600 L ในรุ่นปี 1998 – 2002 จะใช้เครื่องยนต์
M137 บล็อก V12 สูบ ทำมุม 60 องศา SOHC 36 วาล์ว (3 วาล์ว/สูบ) 5.8 ลิตร 367 แรงม้า (PS)
แรงบิดสูงสุด 530 นิวตันเมตร (54.0 กก.-ม.) เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ 5G-TRONICS
แต่ในรุ่นปี 2002 – 2005 จะเปลี่ยนมาใช้ขุมพลัง M275 บล็อก V12 สูบ SOHC 36 วาล์ว 5,513
ซีซี Twin-Turbocharger 500 แรงม้า (PS) แรงบิด สูงสุด 800 นิวตันเมตร (81.52 กก.-ม.) เกียร์
อัตโนมัติ 7 จังหวะ ลูกใหม่ 7G-TRONICS ที่ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในช่วงนั้น
แต่ถ้า ท็อปสุดในกลุ่มที่เน้นความแรง ต้องเป็น S65 AMG วางขุมพลัง M275 AMG ซึ่งออกแบบ
ปรับปรุง และผลิตด้วยมือของทีมวิศวกร AMG เป็นบล็อก V12 สูบ SOHC 36 วาล์ว 5,980 ซีซี
แรงมหากาฬถึง 612 แรงม้า (PS) ที่ 4,800 – 5,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 1,000 นิวตันเมตร ที่
2,000 – 4,000 รอบ/นาที และต้องมีการล็อกแรงบิดสูงสุดของเครื่องยนต์ไว้เพียงเท่านี้ เพราะมัน
มากมหาศาลเกินไป ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT
W220 ทำตลาดจนถึงปี 2005 ด้วยยอดผลิตออกจากโรงงาน Sindelfingen มากถึง 485,000 คัน
เป็นตัวเลขที่ไม่เลวเลยทีเดียว สำหรับรถยนต์ระดับ Luxury ที่นับวันมีแต่จะแพงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งต้นทุน
การพัฒนาที่สูงขึ้น ค่าใช้จ่ายด้านต่างๆที่สูงขึ้น ปัจจัยด้านค่าเงิน ฯลฯ จนส่งผลให้ตัวรถมีราคาแพงขึ้น

แต่สำหรับ Mercedes-Benz แล้ว ทันทีที่รถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาด พวกเขามีเวลาเก็บเกี่ยว
ความสุขจากการทำงานหามรุ่งหามค่ำในช่วงหลายปีที่ตรากตรำ ได้ไม่นานนัก คำวิจารณ์ต่างๆ
รวมทั้งข้อคิดเห็นจำนวนมาก จะถูกกลั่นกรองออกมา เพื่อเตรียมไว้สำหรับการพัฒนา รถยนต์
รุ่นต่อไป ในอีก 1 ปีถัดมา!!
ทีมออกแบบของ Mercedes-Benz เริ่มงานพัฒนา S-Class W221 ในปี 1999 โดยงานออกแบบ
เริ่มต้นในปี 2000 ณ ศูนย์ออกแบบ Advanced Design Center ของ Damiler AG ในกรุง Tokyo
เมื่อถึงปี 2001 โดยมีการนำเทคโนโลยีด้านการออกแบบมาประยุกต์ใช้มากมาย เช่นการนำเสนอ
งานออกแบบ ยิงขึ้นจอ ขนาดใหญ่เสมือนจริง การเลือกสรรวัสดุ และโทนสีทั้งภายนอกและ
ภายในรถอย่างพิถีพิถัน ฯลฯ
งานออกแบบขั้นสุดท้าย โดย Gorden Wagener ที่ ศูนย์การออกแบบ Advanced Design
Center ใน Sindelfingen ก็เสร็จสิ้นลง การปรับปรุงรายละเอียดจนนิ่งสนิทและได้บทสรุป โดย
ไม่ต้องปรับแก้อะไรอีก เกิดขึ้นในปี 2002 จากนั้น มีการยื่นขอจดทะเบียนสิทธิบัตร ด้านงานออกแบบ
ในเยอรมนี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2003
อย่างไรก็ตาม งานออกแบบของ S-Class หลุดเล็ดรอดออกมาให้ชาวโลกได้เห็นก่อนเป็นครั้งแรก
ในขณะทำการสำรวจวิจัยตลาดกับกลุ่มลูกค้า consumer design clinic เมื่อเดือนธันวาคม 2002 หรือ
2 ปีครึ่ง ก่อนที่รถจะออกสู่ตลาด

ช่วงเวลา 2 ปีครึ่ง หลังจากที่งานออกแบบได้รับการอนุมัติ จนถึงขั้น ถอดแบบพิมพ์เขียว
ออกมาเป็นชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อประกอบรวมกันเป็นรถยนต์คันต้นแบบนั้น ทีมวิศวกรของ
Mercedes-Benz ทุ่มเทให้กับการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้ง การให้
ความใส่ใจกับคุณภาพการขับขี่ การเก็บเสียง การลดแรงสั่นสะเทือน จำพวก NVH หรือ
Noise Vibration & Harshness ทั้งนี้ยังรวมถึงความพยายามในการปรับปรุงให้ตัวรถ ลู่ลม
จนได้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ ต่ำเพียง Cd 0.27 ซึ่งถือว่า ต่ำมากเมื่อเทียบกับ
รถยนต์ในยุคปี 2005 พวกเขาทดสอบทุกระบบ ทุกการใช้งาน ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า จนมั่นใจว่า
S-Class W221 จะต้องเป็นรถยนต์หรูที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้นให้ได้

ในที่สุด S-Class ใหม่ รหัสรุ่น W221 อันเป็น Generation ที่ 5 ของตระกูลรถยนต์หรูค่าย
ตราดาว ที่สวมชื่อ S-Class ก็ได้ฤกษ์ ถึงเวลาเผยโฉมสู่สาธารณชน อย่างเป็นทางการ เมื่อ
เดือนมิถุนายน 2005 และเปิดตัวครั้งแรก ในงาน Frankfurt Motor Show เดือนกันยายน 2005
ตลอดช่วง 2 ปีแรกที่เปิดตัว S-Class ใหม่ W221 กวาดสารพัดรางวัลมากมายนับไม่ถ้วน แถมยัง
กอบกู้ชื่อเสียงด้าน คุณภาพ ที่เคยตกต่ำลงไปจากรุ่น W220 ให้กลับคืนมาได้อย่างสง่างาม และ
นั่นก็ทำให้รถรุ่นใหม่ ได้รับความนิยมมาก ในหมู่เศรษฐีทั่วโลก 13 มิถุนายน 2006 หรือเพียง
8 เดือนหลังออกสู่ตลาด ยอดขายของ S-Class ทั่วโลก ก็พุ่งมาแตะระดับ 50,000 คันได้สำเร็จ!
16 เมษายน 2006 รุ่นกันกระสุน S600 Guard Special Protection Model ถูกแนะนำสู่ตลาด
เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าในยุโรป สหรัฐฯ และตะวันออกกลาง ซึ่งต้องมีการอารักขาคุ้มกันมาก
เป็นพิเศษ
นอกจากนี้ W221 ยังถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกของ Mercedes-Benz ที่มีการนำเทคโนโลยี
ขุมพลัง Diesel Turbo มาพ่วงเข้ากับระบบขับเคลื่อน HYBRID เปิดตัวครั้งแรกในงาน
Frankfurt Motor Show เดือนกันยายน 2007 โดยใช้ชื่อรุ่น S300 BLUETEC HYBRID
ส่วนรุ่นปรับโฉม Minorchange หรือ Facelift นั้น เริ่มต้นเมื่อปี 2006 อันเป็นช่วงเวลาที่
W221 เปิดตัวไปแล้ว 1 ปี งานออกแบบ ได้รับการอนุมัติในปี 2007 และการประกาศเปิดตัว
สู่สาธารณชน มีขึ้นเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2009 ในเมือง Stuttgart โดยมุ่งเน้นการปรับปรุง
ให้ S-Class ใหม่ ประหยัดน้ำมันมากขึ้นด้วยสารพัดเทคโนโลยี ที่เป็นมิตรต่อโลกมากขึ้น
โดยเฉพาะ รุ่นสำคัญที่เปิดตัวเข้ามา ได้แก่ S400 BLUETEC HYBRID ที่ทำอัตราสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิงดีขึ้นเป็น 7.9 ลิตร/100 กิโลเมตร และปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดอ็อกไซด์ 186 กรัม/
1 กิโลเมตร แถมด้วยสารพัดอุปกรณ์ อำนวยความสะดวกมากมาย ที่เพิ่มเติมเข้ามา อาทิ
ชุดไฟหน้าแบบ Adaptive Highbeam Assist ระบบเตือนเมื่อผู้ขับขี่เบี่ยงเลนโดยไม่ตั้งใจ
Lane Keeping Assist ระบบควบคุมความเร็วคงที่ และชะลอรถอัตโนมัติ จาก Redar ที่
ติดตั้งบริเวณกระจังหน้า Speed Limit Assist ระบบกล้องอินฟาเรดแสดงวัตถุหรือบุคคล
ที่เคลื่อนไหวในระยะห่างจากด้านหน้ารถ ยามค่ำคืน Night View Assist และระบบเตือน
ผู้ขับขี่ให้พักข้างทาง หากขับรถมานานเกินไป แถมยังมีระบบรักษาการทรงตัวขณะขับขี่
ตัดผ่านกระแสลมแรง Automatic crosswind stabilisation มาให้อีกด้วย!
และเพียงหลังจากนั้น เดือนเดียว วันที่ 11 พฤษภาคม 2009 Daimler AG. ก็ประกาศความ
สำเร็จของยอดขาย S-Class W221 ทั่วโลก ว่ามียอดรวมแล้วกว่า 270,000 คัน ซึ่งถือว่า
ทำตัวเลขได้ดีกว่ารุ่น W220 อยู่ไม่น้อย

S-Class W221 ที่ยังทำตลาดในบ้านเรา ช่วงปลายอายุตลาด ในตอนนี้ มีเหลือแต่รุ่น
ฐานล้อยาว Long Wheelbase ซึ่งมีขนาดยาวเพิ่มขึ้นจากรุ่นมาตรฐานเล็กน้อย
มิติตัวถังยาว 5,226 มิลลิเมตร กว้าง 1,871 มิลลิเมตร (ถ้ารวมกระจกมองข้างเข้าไป
จะกว้างเป็น 2,120 มิลลิเมตร) สูง 1,479 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาวสะใจถึง 3,165
มิลลิเมตร น้ำหนักรถเปล่าอยู่ที่ 2,000 กิโลกรัม หรือ 2 ตัสน น้ำหนักที่บรรทุกได้
รวมของเหลวในระบบด้วยแล้ว 580 กิโลกรัม ดังนั้น น้ำหนักรวมของรถทั้งคัน
เมื่อรวมผู้โดยสาร สัมภาระ และของเหลวในระบบจึงอยู่ที่ 2,580 กิโลกรัม
เส้นสายตัวถัง แตกต่างไปจาก W220 รุ่นก่อนหน้านี้ อย่างสิ้นเชิง มาในรูปแบบ
เหลี่ยมสันมากขึ้น เพิ่มโป่งซุ้มล้อขนาดใหญ่โต ทั้ง 4 ล้อ เพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้า
ชาวอเมริกัน ขณะที่บั้นท้าย รับอิทธิพลมาจาก รถยนต์ระดับ Ultra-Luxury อย่าง
MAYBACH (ซึ่งเพิ่งยุติการผลิตไปเมื่อปี 2012) มาเต็มๆ ส่วนความแตกต่างที่
ชัดเจนจากรุ่นก่อนปรับโฉม มีทั้งไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง แบบ LED และชุด
ไฟท้ายแบบ LED ซึ่งจะไม่มีแถบสีเดียวกับตัวถังคาดกลางชุดไฟท้ายอีกต่อไป
รวมทั้งชุดกระจังหน้า เปลือกกันชนหน้า และชุดไฟหน้าที่ถูกปรับปรุงใหม่
เล็กน้อย
ในรุ่น Exclusive ที่เห็นอยู่นี้ จะไม่มีไฟหน้าแบบ ส่องสว่างเอง ILS (Intelligent Light
System) ระบบไฟหน้าแบบ ติดสว่างขณะเลี้ยวพวงมาลัยไปฝั่งใดฝั่งหนึ่ง Cornering
Light รวมทั้งไม่มีระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive High beam Assist) ไม่มีชุด
ไฟหน้าขนาดเล็ก ส่องสว่างขณะขับขี่ตอนกลางวัน Daytime Running-Light LED
และไม่มี ระบบปรับโคมไฟหน้าตามการเลี้ยวของพวงมาลัย อัตโนมัติ ALS-Active
Light System) ทั้งหมดนี้เป็นอุปกรณ์ที่จะมีใน รถรุ่น Final Edition ทุกรุ่น ทุกคัน

ระบบล็อกประตู เป็น กุญแจรีโมทคอนโทรลก็จริง แต่ในรุ่น Exclusive กลับไม่มีระบบ
KEYLESS-GO มาให้ มีแค่ ระบบกันขโมย Immobilizer ถ้าอยากได้ระบบดังกล่าว คง
ต้องซื้อรุ่น Final Edition ไปเลย ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่า รถราคา 6.39 ล้านบาท แล้ว ไหนๆ
ก็น่าจะให้อุปกรณ์นี้มาสักหน่อยก็ยังดี
รีโมทกุญแจ ยังคงมีหน้าตาเหมือนกับกุญแจของ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ ตลอดช่วง
5 ปีที่ผ่านมา ถ้าจะติดเครื่องยนต์ ก็เสียบกุญแจไขเข้าไปหมุนที่ ช่องเสียบ บริเวณใกล้
คอพวงมาลัยฝั่งขวาได้เลย มีปุ่มสั่งล็อก และปลดล็อก รวมทั้งปุ่มเปิดฝาประตูด้านหลัง

การเข้า – ออกจากประตู คู่หน้า ทำได้สบาย สำหรับรถยนต์ระดับนี้ ช่องทางเข้า – ออก
ดูจากสายตา มีขนาดไล่เลี่ยกันกับ 7-Series F01/F02 แต่ การใช้งานจริง เข้า – ออกได้
ไม่อึดอัดเท่า ถือว่าทำออกมาเอาใจผู้คนทุกขนาดสรีระ
ภายในห้องโดยสาร บุด้วยหนัง ประดับด้วยลายไม้ และแถบโครเมียม ในบางจุด
แผงประตูด้านข้าง มีบริเวณพนักวางแขน ที่วางแขนได้สบาย ในระดับพอดีแล้ว แถม
ยังสามารถเปิดฝายกขึ้นมาเป็น ช่องเก็บของขนาดยาว แต่เล็ก ได้ พอให้ใส่ปากกา
หรือข้าวของจุกจิกเล็กๆน้อยๆ ซึ่งในการใช้งานจริง ก็ทำได้ไม่ถึงกับสะดวกมากนัก
ส่วนช่องใส่ของด้านล่าง ก็พอจะให้ใส่สมุดพก คู่มือ เอกสารนิดๆหน่อยๆ แต่ไม่ได้
ใหญ่พอให้ใส่ขวดน้ำได้พอดี เว้นเสียแต่ว่า คุณต้องหาทางยัดขวดน้ำ 7 บาท ลงไปนอน
ด้วยตัวคุณเอง ซึ่งตอนงัดเอาขึ้นมา ก็ต้องออกแรงพอสมควร
มีไฟส่องสว่างสีแดง เพื่อให้คนที่ขับรถตามมาตอนกลาคืน ได้เห็นว่า มีประตูเปิดอยู่
ถือเป็นแนวคิดเรื่องความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน ที่หลายๆค่าย ไม่ค่อยใส่ใจกัน แถมยัง
ตัดออก เพราะมองเรื่องต้นทุน ไม่ข้าใจเลยจริงๆ ดีแล้วที่ Mercedes-Benz ติดตั้งให้

เบาะนั่งคู่หน้า ให้ Function การทำงานมาเหมือนกัน คือ ปรับได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า
บนแผงประตูทั้ง 2 ฝั่ง มีหน่วยความจำตำแหน่งเบาะให้ 3 หน่วย เหมือนกัน ถ้า
ปรับเบาะจนเข้าที่ตามต้องการ ให้กดปุ่ม M ข้างไว้ พร้อมกับกดเบอร์หน่วยความจำ
ที่ต้องการ 1 2 หรือ 3 พร้อมกัน จนมีเสียง “ติ๊ด” แสดงว่า ระบบได้จำตำแหน่งเบาะ
ให้คุณแล้ว
พนักพิงหลัง กับพนักศีรษะ นุ่มสบายใช้ได้ ถ้าต้องการปรับระบบดันหลัง Lumbar
Support ต้องเข้าไปใน Menu ของระบบ COMMAND (ไว้อธิบาย ในย่อหน้าล่างๆ)
คือ ต้องเข้าไปใน Mode Vehicle จนเจอรูปรถ และคำว่า Lumbar Support ก่อนจะ
เลือกฝั่ง ซ้าย หรือ ขวา แล้วค่อยปรับระดับ จาก 1 ถึง 10 ซึ่งขั้นตอนนี้ ดูยุ่งยากและ
วุ่นวายเวิ่นเว้อเกินไป แถมการดันหลัง ก็ไปดันบริเวณสะโพก ซึ่งสำหรับบางคน
อยากได้ตำแหน่งดันเพิมขึ้นบริเวณกลางหลังมากกว่า แต่ถ้าต้องการถึงขนาดนั้น
ก็คงต้องยกระดับไปเล่นรุ่นที่แพงกว่านี้
เบาะรองนั่ง สามารถปรับยืดหรือหดเข้าไปได้ ดังนั้น ใครที่บ่นว่า เบาะรองนั่งสั้น
แสดงว่า ยังไม่ได้ปรับขนาดให้มันยาวออกมาจนสุด เพราะนั่นคือขนาดที่พอดี
สำหรับคนตัวใหญ่ ตัวเบาะเอง ก็นุ่มสบายกำลังดี มีฮีตเตอร์อุ่นเบาะ และพัดลม
เป่าเบาะ อย่างละ 3 ระดับความแรงให้เลือก ทั้งฝั่งคนขับ และผู้โดยสารด้านซ้าย
พื้นที่เหนือศีรษะ ไม่ต้องเป็นห่วง รถยนต์ระดับนี้ ทำมาเผื่อไว้สำหรับคนตัวใหญ่
ดังนั้น จึงมีพื้นที่ด้านบน เหลือมากพอให้มนุษย์ร่างยีราฟทั้งหลาย ได้หายใจ
ถ้ายังบ่นว่า พื้นที่ศีรษะน้อยไป หรือขนาดห้องโดยสารเล็กไป กรุณาติดต่อทาง
Daimler AG ให้เขาปรับปรุง S-Class เวอร์ชันพิเศษ ให้คุณ แบบเดียวกับอดีต
ผู้นำเยอรมัน อย่าง เฮลมุท โคห์ล กันเอาเองเถอะ!
ภาพรวมของเบาะหน้า ถือว่า นั่งสบาย กว่า เบาะคนขับของ BMW 7-Series จาก
เหตุผลในเรื่อง วัสดุหนังที่หุ้มเบาะ ลื่น เนียนกว่า แต่ความสบาย ถือว่า ยังด้อยกว่า
Lexus LS460 L อยู่นิดนึง