เยอรมันขึ้นเป็นอันดับ 1 ด้านการผลิตรถ EV ในยุโรป และครองอันดับ 2 ของโลก
สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมัน (VDA) กล่าวว่ารถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด 995,000 ถูกผลิตออกจากโรงงานของเยอรมันในปี 2023 ฝั่งประเทศจีนยังคงครองในเรื่องของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของโลกอยู่ แต่รถยนต์ไฟฟ้าของจีนส่วนใหญ่ถูกขายในจีนเท่านั้น ทางตรงกันข้ามรถยนต์ไฟฟ้าของเยอรมันกว่า 76% ถูกส่งออกไปขายต่างประเทศ

ฝั่งสหรัฐครองตำแหน่งอันดับที่ 3 สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของโลก เยอรมันมีแบรนด์ที่เป็นผู้เล่นหลักอย่าง Volkswagen, BMW และ Mercedes-Benz ทั้ง 3 แบรนด์เป็นผู้นำให้กับยุโรปด้วยการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่จำนวนมากกว่าการผลิตจากสเปน (256,000 คัน) และฝรั่งเศส (225,000 คัน) รวมกัน
DW รายงานช่วงในช่วงเดือนธันวาคมว่า “Federal Motor Transport Authority ได้คำนวนว่ารถยนต์ไฟฟ้ากว่า 10 ล้านคันจะถูกลงทะเบียนในเยอรมันในวันที่ 1 มกราคม 2030 ขึ้นอยู่กับขนาดของคลังการผลิตรถยนต์ และจะสอดคล้องกับส่วนแบ่งอยู่ที่ประมาณ 20-25% สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้า”

อย่างไรก็ตาม โรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของเยอรมันในปี 2024 อาจจะไม่ได้ราบรื่นอย่างที่ควร รัฐบาลของเยอรมันได้ออกโครงการเงินอุดหนุนใหักับรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนการดำเนินการไปจนจบปี 2024 กลับถูกระงับอย่างกะทันหันในเดือนธันวาคมหลังจากงบประมาณของปี 2024 ได้รับการแก้ไข ศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมนีสร้างช่องโหว่ 60 พันล้านยูโร (ประมาณ 23 หมื่นล้านบาท) ในงบประมาณของรัฐ ทําให้รัฐบาลต้องยกเลิกโครงการต่าง ๆ ลง
โครงการของรัฐบาลเสนอเงินสูงสุดถึง 6,750 ยูโร (ประมาณ 266,000 บาท) ซึ่งจะได้รับทุนจากรัฐและผู้ผลิตรถยนต์ ขึ้นอยู่กับมูลค่าของรถยนต์ไฟฟ้า ณ วันที่ 1 มกราคม 2024 เงินอุดหนุนของรัฐบาลกลางของเยอรมนีสําหรับรถยนต์ไฟฟ้า BEV ด้วยราคาปลีกสุทธิสูงถึง 45,000 ยูโร (ประมาณ 1.8 ล้านบาท) จะได้เงินอุดหนุน 3,000 ยูโร (ประมาณ 118,000 บาท) ผู้ผลิตต้องสนับสนุน 1,500 ยูโร (ประมาณ 59,000 บาท) จากเงินอุดหนุนทั้งหมด 4,500 ยูโร อย่างไรก็ตาม (ประมาณ 178,000 บาท) รถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคามากกว่า 45,000 ยูโร จะไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินทุนอีกต่อไป

ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมันต้องเผชิญกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ รวมถึงความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทาน ทําให้เยอรมันอยู่เบื้องหลังแบรนด์อย่าง Tesla และ OEM ให้กับจีนด้วย เนื่องจากเทคโนโลยีของรถยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำหน้าและมีประสิทธิภาพกว่า นอกจากนี้ ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมันมักจะต้องร่วมมือกับบริษัทในอเมริกาและเอเชียตะวันออกเพื่อตอบสนองความต้องการด้านแบตเตอรี่ ซึ่งนําไปสู่ปัญหาการพึ่งพาอาศัยกันและการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ช้าลง
แต่เยอรมนีก็กําลังพยายามเพิ่มความสามารถในการผลิตแบตเตอรี่ โดยบริษัทต่าง ๆ เช่น Volkswagen ได้ร่วมมือกับบริษัทต่าง ๆ เช่น Northvolt เพื่อเกาะส่วนแบ่งตลาดสําหรับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้านั่นเอง
Mercedes-Benz กับแผนรถยนต์ไฟฟ้า
Mercedes-Benz จริงจังกับการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น หลังทางแบรนด์ประกาศแผนมียอดขายจากรถยนต์ไฟฟ้าครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดภายในปี 2025 และในปี 2030 จะจำหน่ายแต่รถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น ซึ่งไม่รวมรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Plug-in Hybrid เพราะมีแต่รถยนต์ไฟฟ้าล้วน หรือ Battery Electric Vehicle: BEV
จนปัจจุบัน Mercedes-Benz มีการเปิดตัว และทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรุ่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนำรถยนต์ตระกูลเดิมมาต่อยอด เช่น EQA มีพื้นฐานจาก GLA รถยนต์ SUV ขนาดเล็ก, EQC มีพื้นฐานจาก GLC รถยนต์ SUV ขนาดกลาง และ EQS มีพื้นฐานจาก S-Class เป็นต้น
แต่เพื่อแสดงแสนยานุภาพให้ตลาดได้รับรู้ Mercedes-Benz จึงเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ Vision EQXX ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี และการออกแบบสุดล้ำ ที่สำคัญ Vision EQXX จะเป็นบรรทัดฐานใหม่ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของ Mercedes-Benz เพราะเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ใส่เข้าไปจะถูกติดตั้งจริงในรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่นในปี 2024
Vision EQXX มีดีที่ขุมพลัง และการออกแบบ
หากเจาะที่สมรรถนะของ Mercedes-Benz Vision EQXX จะพบว่า รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต้นแบบคันนี้วิ่งได้ไกล 1,000 กม. หลังชาร์จเต็ม ถือว่าค่อนข้างไกลเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดที่อยู่ราว 400-600 กม. เพราะใส่แบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้น แต่เบากว่าเดิม 30% เมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น EQS ที่ทำตลาดในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ระยะทาง 1,000 กม. ทาง Mercedes-Benz ใช้ซอฟต์แวร์ในการคำนวณ ไม่ได้ทดสอบวิ่งจริงบนท้องถนนน แต่หากวิ่งได้ระยะนี้จริง Mercedes-Benz Vision EQXX จะวิ่งได้ไกลกว่า Toyota Prius ที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกา เพราะรถยนต์ Hybrid ของ Toyota รุ่นนี้ หากเติมน้ำมันเต็มถังจะวิ่งได้ไกลราว 950 กม.
อีกปัจจัยที่ทำให้ Mercedes-Benz Vision EQXX วิ่งได้ไกลขนาดนี้คือการออกแบบที่มีค่าค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศเพียง 0.17 น้อยกว่าการขว้างลูกอเมริกันฟุตบอล และ Porche 911 Turbo ทั้งยังลดน้ำหนักด้วยการใช้วัสดุพลาสติกทนทานพิเศษเป็นตัวซับแรงกระแทก แทนที่จะใช้เหล็กเหมือนรถยนต์ปกติ

ถึงแรง แต่ก็ยังรักโลกไปพร้อมกัน
ในทางกลับกัน Mercedes-Benz Vision EQXX ยังรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้วัสดุจากธรรมชาติ และเศษขยะมาประยุกต์เป็นอุปกรณ์ตกแต่งภายใน และชิ้นส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์ เช่น โครงสร้างภายนอกจะใช้วัสดุ UBQ ที่ทำจากเศษขยะตั้งแต่ พลาสติก, กระดาน รวมถึงผ้าอ้อมเด็ก
เบาะหนังสังเคราะห์ที่ทำมาจาก Mycelium หรือเห็ดราชนิดหนึ่ง รวมถึงเยื่อจากต้นกระบองเพชร และพรมภายในรถที่ทำจากเยื่อไผ่ เป็นต้น แสดงให้เห็นถึงการใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วยการนำวัสดุที่แบรนด์อื่นอาจมองเป็นขยะ มาประยุกต์ให้กลายเป็นสิ่งของที่กลับมาใช้งานได้ใหม่
และเพื่อช่วยเหลือเรื่องการใช้ไฟฟ้าในรถยนต์ Mercedes-Benz Vision EQXX ยังติดตั้งหลัง Solar Roof หรือหลังคาที่แปลงแสงอาทิตย์เป็นพลังงาน เพื่อจ่ายไฟให้เครื่องปรับอาการ หรือระบบไฟฟ้าอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้เป็นเพียงรถยนต์ต้นแบบ และยังไม่มีแผนการทำตลาดในอนาคต
สรุป
รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นกลยุทธ์หลักของแบรนด์รถยนต์ และส่วนตัวเชื่อว่าหลังจากนี้ค่ายรถยนต์รายอื่นจะเริ่มพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น เพื่อจูงใจผู้บริโภค และตอบโจทย์ทิศทางของตลาดที่ไปในทิศทางพลังงานสะอาดมากขึ้น ซึ่งต้องดูกันต่อไปว่า รถยนต์แบรนด์ใดจะรั้งท้ายในการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้