• Movie 187
  • Movie 66
  • Sample Page
  • รีวิวหนังดี 294 – P1
  • รีวิวหนังดี 294 – P2
  • รีวิวหนังดี 294 – P3
reviewfilm.dailync91news.live
No Result
View All Result
No Result
View All Result
reviewfilm.dailync91news.live
No Result
View All Result

N2107001 หย นฝานเร มสงส ยความล บของแม แต เป นแค ดเร มต นเท าน part1

admin79 by admin79
July 21, 2025
in Uncategorized
0
N2107001 หย นฝานเร มสงส ยความล บของแม แต เป นแค ดเร มต นเท าน part1

ขุมพลัง PHEV ของ Outlander จะแบ่งการทำงานออกเป็น 3 รูปแบบ บริหารจัดการระหว่างระบบต่างๆด้วยสมองกลควบคุมระบบไฮบริด

  • EV Drive Mode – คือการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเท่านั้น มีไว้ใช้ในการขับแบบปกติ ในเมือง กดคันเร่งไม่หนัก
  • Series Hybrid Mode – ก็คือ มอเตอร์ก็ยังขับเคลื่อนนั่นแหละ แต่เครื่องยนต์จะติดขึ้นเพื่อชาร์จไฟ โหมดนี้จะทำงานเมื่อแบตเตอรี่เริ่มอ่อน และทำงานเมื่อคุณกดคันเร่งหนักๆ หรือขับหนีปาปารัซซี่
  • Parallel Hybrid Mode – ก็คือเครื่องยนต์กลายเป็นพระเอกในการขับเคลื่อนโดยมีมอเตอร์เป็นตัวช่วยเสริมแรง โหมดนี้จะทำงานที่ความเร็วสูง ที่ซึ่งถ้าให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานแล้วภาระจะหนักเกินไป กินไฟจนไม่คุ้ม เช่นถ้ากดคันเร่งกันเต็มตีนเนี่ย กว่าโหมด Parallel จะทำงานก็ต้อง 140-150 กม./ชม. นั่นแหละครับ

อ่านตรงนี้เสร็จจะเข้าใจแล้วว่าทำไมผมถึงเทียบว่ามันคล้าย Accord Hybrid ที่เพิ่มแบตโตและขับสี่..เพราะนิสัยมันคล้ายกันมากครับ ขับในเมือง มอเตอร์เท่านั้นที่ขับเคลื่อน พอแบตหมด เครื่องค่อยติดเพื่อชาร์จ เมื่อกดคันเร่งเต็ม เครื่องยนต์หมุนจี๋เพื่อปั่นไฟ แต่ไม่ได้ส่งกำลังไปที่ล้อ จุดที่ต่างกันคือเวลาเครื่องยนต์ส่งกำลังไปที่ล้อเพื่อขับเคลื่อน แค่นั้น Honda ไม่ต้องวิ่งเร็วมากมายอะไรมันก็ดึงเครื่องมาขับเคลื่อนรถแล้ว แต่ของ Outlander ต้องใช้สปีดมากกว่า..เอ้า..ก็เขามีแบตลูกโตกว่าไง

ข้อต่อมาที่คุณน่าจะรู้แล้วก็คือ เมื่อกดคันเร่ง 100% ออกตัวไป ช่วง 0-140 เครื่องยนต์ไม่ได้มีบทบาทในการขับเคลื่อนนะครับ ลองค้น Youtube หาคลิป Outlander PHEV acceleration ดูก็ได้ครับ ดูมากี่คลิปก็เหมือนกันหมด จอ Energy Flow บนหน้าปัดแสดงชัดเจนว่ากว่าเครื่องยนต์จะส่งกำลังไปล้อนั่นก็เกิน 140 กม./ชม. ไปแล้ว พูดง่ายๆก็คือ ไอ้ที่บอกว่ามี 305 แรงม้านั้น..ได้ใช้ตอนขับเคลื่อนจริงๆก็ไม่เกิน 177 แรงม้า หรืออย่างเก่งสุดก็ 200 ครับ

ระบบส่งกำลัง Mitsubishi ไม่ยุ่งที่จะเรียกว่า E-CVT ให้คนงงเล่นด้วยซ้ำ เขาก็บอกไปเลยว่ามีแค่เฟืองทดตัวเดียว แค่นั้น ไม่นับเป็นเกียร์ ส่วน Paddle Shift ที่มีให้นั้น ไม่ได้เอาไว้ให้เล่นเกียร์ แต่เอาไว้ให้กำหนดดีกรีความหน่วงของรถ จากระบบ Regenerative Braking System ซึ่งสามารถเลือกได้ตั้งแต่ B0 (ไม่หน่วงเลย) จนถึง B5 (ซึ่งถอนคันเร่งแล้วรถตื้อในทันที)

นอกจากนี้ บริเวณคันเกียร์ ยังมีปุ่มควบคุมอีกหลายปุ่ม ซึ่งถ้าคุณไม่ศึกษาเกี่ยวกับมัน โลกก็ไม่แตกหรอก แต่ถ้ารู้ไว้ก็อาจจะสนุกกับการสั่งการรถได้มากขึ้น

Battery Control (ปุ่มข้างซ้ายของมาร์กโชว์ตำแหน่งเกียร์) มีปุ่มเดียว แต่กด 1 ครั้งหรือ 2 ครั้งได้ผลต่างกัน แสดงผลบนหน้าปัด

  • SAVE – ในโหมดนี้ รถมีไฟเหลือในแบตเตอรี่เท่าไหร่ มันก็จะพยายามรักษาเอาไว้ให้ได้เท่านั้นตลอด เอาไว้ใช้เวลาต้องการเซฟพลังไฟฟ้าไว้ใช้คลานเข้าบ้านเงียบๆกลางดึกแบบไม่ปลุกใครตื่น
  • CHARGE -พอเข้าโหมดนี้ เครื่องยนต์จะติดเพื่อชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ แต่มันจะไม่เหมือนรถ PHEV อื่นๆที่พอใช้รอบสูง วิ่งเร็ว ยิ่งชาร์จกลับเร็ว เพราะของ Outlander นี่จอดนิ่งหรือวิ่งเหยาะ จะชาร์จกลับเร็ว แต่พอวิ่งเร็ว ระบบจะปันกำลังเครื่องไปป้อนให้การขับเคลื่อนมากกว่าการชาร์จ

EV Mode (ปุ่มข้างขวาของมาร์กโชว์ตำแหน่งเกียร์)

  • ใน EV Mode ก็แน่นอนว่ามันคือการบังคับไม่ให้เครื่องยนต์ติด วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วน สามารถใช้ความเร็วได้สูงสุด 135 กม./ชม. และถ้าชาร์จแบตเตอรี่มาเต็ม Mitsubishi ประเทศไทยเคลมว่าสามารถทำระยะทางได้ 55 กม. ทั้งนี้ในกรณีที่คุณกระทืบคันเร่งเต็ม เครื่องยนต์จะกลับมาติด เพราะ ECU มันมองว่า กระทืบขนาดนั้น อาจจะมีรถเมล์เบรกแตกพุ่งมาข้างหลังแล้วคุณต้องการหนี รถมันก็จะเข้าสู่โหมด Series Hybrid

*มีอยู่กรณีหนึ่งที่โหมด EV อาจจะโดนกวน..คือเจ้า Outlander PHEV นั้น มันจะมีโปรแกรมจดจำการเติมน้ำมันครับ ถ้าในรอบ 3 เดือน มันจับได้ว่าคุณเติมน้ำมันให้รถไม่ถึง 15 ลิตร รถมันจะสั่งให้เครื่องติดเพื่อเร่งเผาน้ำมันเก่าทิ้ง เพื่อให้คุณป้อนน้ำมันใหม่ๆให้มัน เขาบอกว่าเป็นระบบป้องกันน้ำมันบูด มีในเวอร์ชั่นอังกฤษ และออสเตรเลีย แต่ไม่แน่ใจว่าเวอร์ชั่นไทยเอาฟังก์ชั่นนี้ออกหรือไม่

TWIN MOTOR 4WD Selector เอาไว้ควบคุมการทำงานของระบบขับสี่ S-AWC

  • NORMAL – ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อจะจัดการแบ่งพลังหน้า/หลังตามปกติ โดยตัวรถจะคุมการแบ่งพลังหน้า/หลังด้วยพลังจากมอเตอร์ และแบ่งกำลังซ้าย/ขวาด้วยระบบแยกจับเบรกซ้ายและขวา ซึ่งโดยปกติรถจะเซ็ตการส่งกำลังไว้หน้า/หลังเท่าๆกัน เวลากดคันเร่งหลังติดเบาะจะถ่ายแรงขับมาล้อคู่หลัง และเวลาเบรกหนักจะถ่ายไปล้อข้างหน้า
  • SNOW – ระบบจะส่งกำลังไปล้อหลังมากกว่าหน้าเพียงเล็กน้อย ซึ่งวิศวกรเชื่อว่าให้การบังคับควบคุมรถบนทางลื่นได้ดีที่สุด
  • LOCK – ปรับการส่งกำลังให้อยู่ในอัตราส่วนหน้า/หลัง 50:50 อยู่เกือบตลอด แต่อย่าไปคิดว่ามันจะทำงานเหมือนเกียร์ 4L นะครับ เพราะอย่าลืม รถมันไม่มีเพลากลาง ทุกอย่างเกิดขึ้นคืออิเล็กทรอนิกส์สั่งทั้งสิ้น บางครั้งมันก็จะหลุดจาก 50:50 ได้ถ้า ECU สั่ง

DRIVE Mode Selector

  • SPORT – ปุ่มอยู่ที่หลังสวิตช์ Twin Motor 4WD เมื่อกดแล้ว คันเร่งจะตอบสนองดุดันขึ้น ระบบ S-AWC (Super All Wheel Control) จะกระวีกระวาดขึ้น ส่งกำลังแบ่งไปด้านหลัง/หน้าแบบประสาทกินมากขึ้น เช่นเวลาเหาะเข้าโค้ง ถ่ายกำลังไปหลังมากขึ้นและสั่งจับเบรกล้อวงในหนักขึ้น พอออกจากโค้งกระแทกคันเร่ง ก็ถ่ายกลับเป็น 50:50 ไวขึ้น
  • ECO mode – ปุ่มอยู่ที่คอนโซลกลางตอนล่าง ปรับคันเร่งให้ทำงานนุ่มนมอมยิ้มมากขึ้น ลดการใช้ไฟฟ้าส่วนที่ไม่จำเป็นลง

รายละเอียดพวกโหมดต่างๆนี้ค่อนข้างเยอะครับ ถ้าใครขี้เกียจจำและไม่ได้ขับรถเร็วมาก อย่างน้อยจำแค่ปุ่ม SAVE/CHARGE ไว้บริหารการใช้แบตเตอรี่ ก็น่าจะพอ ส่วน EV Mode นั้นถ้าขับช้าพอและในหม้อมีไฟ เครื่องก็จะไม่ค่อยติดอยู่แล้ว

อ้อ แล้วก็ Outlander PHEV นั้น สามารถปลดเกียร์ว่างจอดล็อครถเข็นได้นะครับ วิธีการทำก็ไม่ยาก ขับรถมาถึงปุ๊บ ใส่เกียร์ P ยังไม่ต้องดับรถนะครับ จากนั้น กดปุ่ม P ค้างไว้ 3 วิ จนตัว P ที่หน้าจอกระพริบ จากนั้น ผลักเกียร์มาที่ N ค้างไว้ จนตัว N บนจอกระพริบ แล้วปล่อยคันเกียร์เด้งกลับ แล้วค่อยผลักไป N อีกรอบ หน้าจอจะโชว์อย่างที่เห็นในภาพข้างบนนี้ จากนั้นดับเครื่อง ปิดประตู ล็อครถ วิธีนี้เอาไว้ใช้เวลาจำเป็นต้องจอดปิดตูดปิดหน้ารถคันอื่น

ส่วนระบบบังคับเลี้ยวของ Outlander PHEV นั้น แน่นอนว่าเป็นพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า ตั้งอัตราทดเฟืองไว้ที่ 14.7 : 1 ช่วงล่างด้านหน้า เป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลัง เป็นช่วงล่างอิสระมัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง ระบบเบรก เป็นแบบ ดิสก์ 4 ล้อ มีการเจาะครีบระบายความร้อนให้ในจานหน้า

ได้ยินมาว่า ในเวอร์ชั่นแรกๆของ Outlander บอดี้นี้ ช่วงล่างจะค่อนข้างไปทางเฟิร์มแน่น แต่พอหลังจากไมเนอร์เชนจ์ ได้รับการปรับให้นุ่มนวลขึ้น จะจริงแท้ประการใด ต้องลอง

***** การทดลองขับ ******

เส้นทางในการทดสอบคราวนี้ ทาง Mitsubishi จัดให้เราทดสอบ โดยเริ่มจากลานจอดรถข้างทะเลสาบเมืองทองธานี วิ่งไปทางปากเกร็ด สะพานพระราม 4 ต่อไปจนถึงพุทธมณฑลสาย 4 แล้ววกเข้าพระรามสอง ขึ้นทางด่วน ไปเชื่อมกับมอเตอร์เวย์ โผล่อีกทีแถวๆรังสิต แล้วค่อยขึ้นทางด่วนกลับมาลงที่เมืองทองธานี แล้วก็ต่อด้วยคอร์สขับบนถนนลูกรังในลานบริเวณนั้น ทั้งหมดนี้ประมาณ 220 กิโลเมตร

อัตราเร่งที่ลองจับมาเป็นอย่างไรบ้าง

ได้ลองเพียงแต่โหมด SPORT เท่านั้น โดย 0-100 กม./ชม. ผมลอง 3 ครั้ง ได้ตัวเลขประมาณ 10.05-10.1 วินาทีไม่หนีไปจากนี้ ส่วนช่วงคิกดาวน์เพื่อแซงจาก 80-120 กม./ชม. ผมลองสามครั้งเช่นกัน ได้ประมาณ 6.9 วินาทีทั้ง 3 ครั้ง นี่คือตัวเลขที่จับโดยเปิดแอร์ และมีผมคนเดียวในรถ ซึ่งทำให้ผมสรุปได้ว่า ถ้าคุณคิดจะซื้อ Outlander PHEV เพราะเห็น 305 ม้ากับราคาล้านเจ็ด เลิกคิดครับ เพราะสิ่งที่นาฬิกาบอกมานั้น ก็ได้ความเร็วประมาณรถ SUV 2.5 ลิตรไม่มีเทอร์โบนั่นล่ะครับ อย่าง CR-V 2.4 ห้าที่นั่ง หรือ X-Trail 2.5 4WD ก็ทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ใกล้เคียงกัน จะมีก็แต่ 80-120 เนี่ยล่ะที่ฉีก CR-V กับ X-Trail ได้ แต่ก็ไปใกล้เคียงกับ Mazda CX-8 2.5

ถ้ากำลังคิดว่าผมจะมั่วเลขหรือเปล่า..ก็จะบอกว่า ไปดูโบรชัวร์ของ Outlander PHEV บนเว็บอังกฤษได้ครับ เขาเคลมไว้ 10.5 วินาที ช้ากว่าที่ผมทำได้เสียอีก ดังนั้น ถ้าเทียบกับ MG HS PHEV ..ผมคิดว่ามีสิทธิ์แพ้ เพราะผมลองในโหมดธรรมดา บรรทุกหนักกว่า ก็ยังได้ 10 วิ ได้ยินว่าถ้ากด Super Sport Mode จะยิ่งเร็วกว่านั้นอีก แต่ผมจะลองขับ HS อีกครั้งแบบออกถนนใหญ่ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ เดี๋ยวจะได้รู้กันชัดๆว่าใครกินใคร

แต่ถ้าคุณให้อภัยกับเรื่องตัวเลข 305 แรงม้า มองข้ามมันไปได้ Outlander PHEV ก็ถือว่าเป็นรถที่มีพละกำลังเพียงพอสำหรับการวิ่งทั้งประเทศสบายๆ เร่งแซงสิบล้อไม่ต้องลุ้น เวลากระทืบออกตัว อาจจะมีอาการอมพลังรอบ้าง แต่หลังจากนั้นไปจะมาแบบสดพร้อมเสิร์ฟ ยิ่งถ้ากด SPORT ด้วยแล้ว เจ้า Outlander สามารถมุดไปมาและเร่งทำความเร็วอย่างว่าง่าย ความที่มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อนเอก การสนองต่อคำสั่งเท้าจึงไวกว่ารถเบนซินเกียร์ CVT อยู่แล้ว

พวงมาลัย มีน้ำหนักเบาหวิวจนให้ย่าให้ยายขับยังได้ แต่เมื่อใช้ความเร็วสูงขึ้นก็จะเพิ่มความหนักมือขึ้นบ้าง แต่ยังไม่ถึงกับหน่วงมือแน่นแบบรถเยอรมันยุคเก่าๆ ดูเหมือนเขาทำมาเน้นการขับขี่สบายมากกว่าสนุก อัตราทดพวงมาลัยที่ดูตอนแรกเหมือนจะไว พอขับจริงกลับรู้สึกว่ามันก็กำลังเหมาะ คล่องตัวโดยที่ไม่ทำให้ประสาทกินต้องประคองเวลาวิ่งเร็วๆ

ช่วงล่างของ Outlander PHEV ก็มาในแนวสบายมากกว่าเรซซิ่งเช่นกัน เวลาขับทางตรงๆก็รู้สึกนุ่มเป็นบุญตูดดีแท้ จะมีก็แค่ตอนผ่านรอยต่อถนนแบบที่เป็นสันนูนมากๆ ผ่านหลุมแบบที่เป็นสันคมใหญ่ หรือผ่านคอสะพานที่หักเป็นเหลี่ยมมากๆ ..เหมือนช่วงล่างมันจะแพ้การยุบตัวประเภทยุบมากและไวแบบนี้ เพราะจะมีอาการตึงตึงชัดเจน นอกเหนือจากสภาพถนนเหล่านี้ไป..สบายแบบแม่ไม่บ่นแน่นอน แต่พอเริ่มบู๊กับทางโค้ง ช่วงล่างที่ทำมาเพื่อเน้นสบาย บวกกับน้ำหนักตัวเกือบๆสองตัน ก็ทำให้มันย้วยยวบกว่าที่ผมคิดไว้ มันอาจจะไม่ย้วยเป็นเรือแบบ Pajero Sport แต่ก็มากพอจะทำให้ผมไม่อยากสาดโค้งเล่นบ้าๆเท่าไหร่ แน่นอนว่าที่ความเร็วสูง ก็เป็นไปตามคาด วิ่งตรงๆก็นิ่ง แต่เปลี่ยนเลนแรงๆแล้วเสียวนิดๆ

มันอาจจะเป็นช่วงล่างที่ดีในปี 2013 แต่ในพ.ศ. นี้ แม้แต่ CR-V Gen 5 ก็วิ่ง 160 โยกเปลี่ยนเลนได้มั่นๆแล้ว

จะว่าไป รถที่มีบุคลิกคล้ายกันมาก ก็คือ Forester เจนเนอเรชั่นที่แล้ว ซึ่งมีล้อและระบบขับเคลื่อนที่คอยดึงรถให้อยู่กับร่องกับรอยได้ดีมาก แต่โช้คและสปริงนุ่ม การบู๊ในรถอย่าง Forester รุ่นนั้นกับ Outlander รุ่นนี้จึงเหมือนกันมาก คือมันจะไม่แข็งไปไวแม่นแบบทหารเยอรมันซ้อมรับ แต่จะดูเหมือนนักบัลเลต์ที่ตัวโอนไปเอนมา แต่เท้าที่แตะพื้นนั้นมั่นคง เตะควายตายได้

ส่วนเรื่องอัตราสิ้นเปลืองนั้น รถสไตล์ Plug-in เวลาวิ่งใกล้ๆ ย่อมได้เปรียบ เพราะไม่ต้องใช้น้ำมันเลย แต่คราวนี้ Mitsubishi ให้ทดสอบกันถึง 200 กม. ก็ทำให้เห็นว่า อันที่จริง หากคุณไม่ได้เดินทาง 200 กม. ทุกวัน รถอย่าง Outlander นับเป็นรถ SUV Class C ที่ใช้น้ำมันน้อยมากนะครับ

EV Mode นั้น ผมลองขับจากจุดที่ไฟในหม้อเหลือ 90% พอไฟลดลงเหลือ 40% ผมนับระยะทางได้ประมาณ 20 กม. นั่นก็น่าจะแปลว่าถ้าผมขับจนไฟหมด ยังไงๆ ก็มี 40 กม. แล้วนี่ไม่ได้ขับแบบจะเอาโล่ห์นะครับ ผมขับแบบปกติ เบรกแบบปกติ และลองวิ่งไปแตะ 130 มาด้วยรอบนึง ในทริปเดี๋ยวกันก็มีพี่สื่อมวลชนอีกเจ้าที่ขับช้า สามารถทำได้ 50 กม. ก่อนเครื่องติด ดังนั้นผมว่า ระยะทางประมาณนี้ พอสำหรับคนส่วนใหญ่ 80% ที่เป็นลูกค้ารถระดับนี้แล้วล่ะครับ

หลังจากไฟหมดลง ผมต้องวิ่งแบบสั่งบังคับให้รถชาร์จแบตด้วยเครื่อง ช่วงนี้ก็จะกินน้ำมันขึ้น แต่ผมต้องเอาไฟไว้ลองอัตราเร่ง พอครบ 100 กิโลเมตร อัตราการใช้ไฟฟ้ากับเครื่องยนต์ขับเคลื่อนอยู่ที่ราว 50% เท่ากัน แบบนี้ได้อัตราสิ้นเปลือง 16.2 กม./ลิตร ซึ่งผมว่าประหยัดดีแล้วครับ ในรถเบนซิน 2.4-2.5 ลิตรรุ่นอื่น ถ้าผมขับแบบเดียวกัน ยังไงก็มี 12 กม./ลิตร

แต่หลังจากกิโลเมตรที่ 100 ไป เราวิ่งทางด่วนกับมอเตอร์เวย์เป็นหลัก ผมมีแอบซัดเล่นไปหลายดอก รวมถึงลองความเร็วสูงสุด ตัดที่ 178 กม./ชม. กระทืบคันเร่งแซงบ่อยๆ พอกิโลเมตรครบ 200 อัตราสิ้นเปลืองเลยลงมาอยู่ 12.8 กม./ลิตร

เอ้า เผื่อบางคนงง สรุป ให้นะ สรุปแบบนี้ถ้าไม่เข้าใจอีกก็ต่างคนต่างไปเถอะ

  • วิ่งไม่เกิน 50 กม. = อาจไม่ต้องพึ่งน้ำมันเลย
  • วิ่งไม่เกิน 100 กม. = อาจคำนวณออกมาได้ 16.2 กม.ลิตร
  • ถ้าเกินกว่านั้นไป อาจจะลงมาอีก แต่ยังไงก็ประหยัดกว่ารถ 2.4-2.5 ลิตรภายใต้การกระทืบคันเร่งแบบเดียวกัน

ส่วนเรื่องการเก็บเสียงนั้น ผมคิดว่า การเก็บเสียงด้านหน้าของ Outlander ทำได้ดี เสียงลม เสียงเครื่องยนต์ ถ้าไม่ใช่ว่ากดกระแทกแหกแหจริงๆก็จะไม่ดังมาก เสียงลมที่ช่วงไม่เกิน 110 กม./ชม. ถือว่าเงียบ แต่การเก็บเสียงจากด้านข้างรถ เวลามีมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่าน หรือมีลมตีข้าง กลับรู้สึกว่าดังไปนิด เทียบกับรถตลาดอย่าง CR-V เจ้านั้นเขาจะเงียบกว่า

หลังจากลองขับรอบเมืองมาเสร็จ ผมได้มีโอกาสมาลองขับในสนามลูกรังกรวด เพื่อทดสอบการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ S-AWC โดยลองเริ่มจากโหมด Normal ก่อน ในโหมดนี้ เวลาออกตัวบนกรวด ล้อแทบไม่ฟรีเลย ไปแบบตรงๆ คุมง่าย เวลาสาดโค้ง ผมหักหลอก 1 ทีแล้วสาดเข้าไปเต็มลำ ผลที่ได้คือรถมีอาการหน้าดื้อชัดเจน แต่ยังพอคุมอยู่ ปลอดภัย..แต่ไม่สนุก

พอรอบสอง ผมลองเข้าโหมด Sport อยากจะเรียกว่าโหมดยิปปี้คาเย่ย์เลย เพราะการตอบสนองคันเร่งก็ดุ การทำงานของระบบจับส่งกำลัง ก็ดุเช่นกัน ในบางช่วงที่เลี้ยวโค้งหนักๆ พบว่ารถถ่ายกำลังไปล้อคู่หลังเยอะมาก อาการอันเดอร์สเตียร์น้อยลง แต่ไม่ค่อยมีดราม่า เวลาท้ายรถออก ก็แก้พวงมาลัยนิดเดียว หรือไม่ต้องแก้เลยก็ได้ ท้ายไม่ออกอาการอยากดริฟท์เท่าไหร่นัก นั่นก็เพราะเมื่อถึงจุดออกโค้ง พอขยี้คันเร่ง รถจะปรับมาเป็นขับสี่แบบ 50:50 เองตอนออกโค้ง ทำให้แม้ไม่ได้ภาพกีฬามันส์ๆ แต่ก็ไม่น่าลงข้างทางจนต้องเรียกประกัน

อีกโหมดนึงที่ได้ลองคือ Lock ซึ่งจะส่งกำลังไปด้านหน้าและหลัง 50/50 และจะพยายามล็อคเช่นนั้นอยู่ตลอด อาการของรถ กลับเหมือนพวกรถออฟโรดยุคเก่าเวลาใส่เกียร์ 4H มากกว่า คือ อาการอันเดอร์สเตียร์เป็นหลัก แต่ถ้ากะจังหวะโยนโค้งให้แรง ใช้น้ำหนักตัวเกือบสองตันเหวี่ยงรถออก ท้ายกลับจะออกมาได้ และต้องหมุนพวงมาลัยเคาน์เตอร์หนักกว่า เวลาเคาน์เตอร์เสร็จในจังหวะที่รถตั้งลำได้ ก็มีแรงเตะกลับจากพวงมาลัยมากกว่า 2 โหมดก่อนหน้านี้ชัดเจน

พูดง่ายๆคือ อย่าหวังว่าคุณจะได้ SUV แรลลี่โลกมาลุยลูกรังเล่น แต่มันจะเป็นรถที่ขับไปได้ดีบนพื้นถนนห่วยๆ และไปในแบบที่ปลอดภัย เหลือพื้นที่ให้ความสนุกแบบพอยิ้มๆออก

ท้ายสุด สิ่งที่ไม่ชอบมากที่สุด ในการขับ Outlander PHEV คือการตอบสนองของแป้นเบรกครับ..เพราะบางทีมันจะไหลมาก มากจนผมตกใจต้องกดเบรกซ้ำลงไปลึกๆ แล้วอาการนี้ก็มักจะมาตอนที่ต้องชะลอเพื่อหยุดนิ่ง ผมพยายามลองปรับการหน่วงจาก B0 ไป B5 (หน่วงสุดเลย) ก็ช่วยได้นิดหน่อย ผมว่าการตอบสนองมันยังไม่เป็นธรรมชาติ ชวนให้คิดรถรถไฮบริดยุคเก่า แม้คุณจะสามารถปรับตัวเข้ากับมันได้ แต่ก็ควรจะปรับปรุงจุดนี้ มันจะช่วยเวลาคุณต้องย้ายไปขับรถคันอื่นสลับไปมา และช่วยเสริมเรื่องความปลอดภัยด้วย

****สรุปการทดลองขับ****

****อย่าคาดหวังสปอร์ต 300 ม้าราคาถูก แต่ให้มองว่ามันคือ SUV รถบ้านที่ขับสบาย มีขับสี่ และเสียบปลั๊กได้ วิ่งเงียบได้****

สารภาพว่าตอนแรก พอเห็นคำว่า 305 แรงม้าบนเอกสารโฆษณาแล้ว ก็แอบหวังว่า..เอาแล้วโว้ย เราจะมี Mercedes-Benz GLC 300 e ในราคาที่คนธรรมดาเอื้อมถึง แต่พอรู้ว่า ตัวเลขม้านั้นเกิดจากแง่ของกฎทางธุรกิจมากกว่าจะเป็นม้าจริง แล้วได้มาขับ..หุ..ผมว่าเราต้องหาวิธีการระบุค่าแรงม้าที่บริษัทรถยนต์ คนซื้อ และหน่วยงานรัฐ จะได้จุดที่ลงตัว และเป็นข้อมูลที่ใกล้ความจริงมากขึ้น ไม่งั้นทุกฝ่ายรวมถึงบริษัทรถยนต์เองก็จะเดือดร้อน จริงๆไม่ต้องบังคับให้ระบุก็ยังได้ครับ ขึ้นรถกับนาฬิกาจับเวลามันก็บอกได้แล้วว่าอะไรคืออะไร

อย่าง Outlander PHEV ผมมองว่า มันก็คือ SUV ที่มอบสมรรถนะ SUV แบบเจ้าตลาด 2.4-2.5 ลิตรทั่วไป นั่นล่ะ แต่สิ่งที่คุณได้มาเพิ่ม คืออัตราสิ้นเปลือง ซึ่งในการใช้งานของคนส่วนใหญ่ ถ้าหากมีที่ชาร์จที่บ้าน แล้วต่อให้ใช้รถวันละ 100 กม. ด้วย ก็ยังมีโอกาสได้รับความประหยัดเท่าๆกับรถดีเซลยุคใหม่ และยิ่งถ้าใช้วันละไม่เกิน 50 กม.เลย ก็อาจจะไม่ต้องพึ่งน้ำมันสักหยดเป็นเวลานานนับเดือน

การขับขี่ ช่วงล่าง การตอบสนอง และห้องโดยสาร แม้จะอยู่ภายใต้อารยธรรมยุค 2013 แต่มันก็ให้ความสบายในการเดินทางไกลอย่างมีความสุข บริหารจัดการเนื้อที่ได้ดี มีความอเนกประสงค์ โดยเฉพาะไอ้รูปลั๊กไฟ 1,500w นั้น น่าจะช่วยอำนวยความสะดวกเวลาต้องไปทริป เป็นพี่เลี้ยงพวกทีมรถแข่ง ต้องไปจอดรอริมสนาม อย่างน้อยก็เสียบทีวีเสียบเกมเล่นได้ จอดซ่อมรถริมสนาม มีอะไรฉุกเฉินก็เหมือนมีเพาเวอร์แบงก์ยักษ์ไปด้วยทุกที่ ไปออกเที่ยวไกลๆ อยากจะย่างหมูกระทะเอาใจเมีย ก็ทำเองได้ มันเป็นจุดดึงดูดที่คนใช้รถ Plug-in ส่วนใหญ่อาจไม่สน แต่พอได้ใช้แล้วขี้คร้านจะ be creative หานู่นหานี่มาลองเสียบใช้ดูเรื่อยไป

แต่จุดที่ผู้ซื้อต้องพิจารณา มันอยู่ที่ว่า คุณคาดหวังอะไรนอกเหนือไปจากความเป็นรถปลั๊กหรือเปล่า เพราะถ้าหากคุณไม่ได้สนเรื่องการวิ่งเงียบด้วย EV Mode หรือเรื่องการใช้น้ำมันอย่างจริงจัง มันจะมีรถอย่าง CR-V 2.4 ES 5 ที่นั่งซึ่งทำหลายอย่างได้ใกล้เคียงกัน มีอุปกรณ์ใกล้เคียงกันหลายอย่างยกเว้นเรื่อง Active Safety เพราะ Honda SENSING เขาใส่แต่ใน CR-V 1.6 ดีเซลตัวท้อป ส่วนต่างของราคารถนั้น คุณเอาไปเติมน้ำมันได้นานหลายปี ดังนั้น คิดให้ดีว่า คุณให้ค่าของการเป็น PHEV ไว้สูงขนาดไหน

ข้อนี้ ไม่มีคำว่าผิดหรือถูก..ผมบอกแล้วว่าคนที่อยากใช้รถถ่าน ก็ควรได้รับการสนับสนุนให้ได้ใช้ ขอแค่ว่ามันมาจากความปราถณาของคุณ หรือรูปแบบชีวิตของคุณเหมาะกับรถแบบนั้นจริงๆ

หรือว่า ถ้าหากเทียบกับรถปลั๊กที่ใกล้เคียงกันอย่าง MG HS PHEV นั้น ผมยังไม่ได้ขับออกถนนใหญ่ ก็พูดอะไรมากไม่ได้ แต่จากที่ลองสัมผัสรถคันจริง ก็รู้ได้ว่า เรื่องดีไซน์ ความสดใหม่ วัยรุ่นวิ่งเข้าหา MG ก่อนแน่ เพราะอายุรถมันคนละยุคกัน อุปกรณ์มาตรฐานทั้งของเล่น และของเกี่ยวกับเซฟตี้ MG ก็ให้มาไม่แพ้ Mitsubishi แต่ราคารถกลับถูกกว่ากันมาก

และถ้าให้พูดตามตรง ตัดเรื่อง Defect กับเรื่องบริการหลังการขายออก สิ่งที่ผมชอบมากกว่าใน Mitsubishi มันจะเป็นจุดเล็กๆที่บางคนอาจจะไม่สน เช่นขนาดตัวรถที่ยาวกว่า พื้นที่วางขาด้านหลัง ตำแหน่งเบาะหลังสบายกว่า เบาะหน้าก็สบายและปรับได้เยอะท่ากว่า แม้ความจุแบตเตอรี่จะน้อยกว่าแต่ก็มีระบบบริหารจัดการพลังไฟที่ดีกว่า สามารถสั่งเซฟไฟแบตเตอรี่ หรือสั่งชาร์จได้ง่ายด้วยการกดปุ่มเดียว(ของ MG ต้องทำผ่านจอกลางและจะกลับไปที่โหมด Default เวลาสตาร์ท) และที่สำคัญ สิ่งที่ MG ไม่มีแน่นอน คือระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งอาจจะมีประโยชน์สำหรับคนที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในเมือง แต่พอออกต่างจังหวัด ก็ต้องไปไร่ไปสวน ลุยทางโคลน ทางลูกรัง

พูดง่ายๆคือ Outlander มีคุณสมบัติที่ตรงใจกับคนที่เน้นการใช้งานมากกว่าคนที่เน้นเรื่องรูปทรง ใน MG คุณมองหารถที่ทันสมัย สวยงาม และยกตัวถังสูงหนีน้ำแค่นั้น แต่ใน Outlander คุณอาจจะเคยเป็นคนที่ขับรถกระบะขับสี่มาก่อน และยังจำเป็นต้องลุยอยู่บ้าง แต่ชีวิตเริ่มอยากมองหารถเงียบๆขับสบายที่มีความเป็น EV ในตัวมากขึ้น แต่ทั้งหมดนี้มันก็มากับค่าตัวที่ต่างกันเกือบสี่แสนบาท

นั่นคือความเห็นของผม แต่ส่วนตัวคุณ อยากได้คันไหน เชิญเลือกเอาตามใจชอบเลยครับ

จริงอยู่ว่า บางครั้งในโลกของยานยนต์ มีปัจจัยมากมายที่ทำให้คนในบริษัทรถ ต้องทำสิ่งที่พวกเขาทำ แม้ว่ามันจะไม่ Make sense ในสายตาคุณ แต่ครั้นเมื่อถึงคราวที่เราต้องเลือกรถเอง แล้วจ่ายเงินซื้อรถคันนั้น บางทีความสงสารก็ไม่สามารถทดแทนด้วยเงินล้านได้ เราซื้อรถของคู่แข่ง ก็ซื้อ แต่ถ้าจะให้ Feedback ก็ให้ในมุมมองผู้ซื้อ ที่บริษัทรถเขามาอ่านแล้ว เขานำกลับไปพัฒนารถโมเดลต่อไปได้ ดีกว่าการด่าเอาสะใจแถมไม่ฮาอีกต่างหาก

เราสามารถตัดสินใจเพื่อตัวเอง โดยที่สามารถเข้าใจอุปสรรคของคนอื่นไปพร้อมกันได้เนาะ

—–/////—–


ขอขอบคุณ / Special Thanks to:

ฝ่ายประชาสัมพันธ์   บริษัท Mitsubishi Motors (Thailand) จำกัด เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ และ การประสานงานในด้านต่างๆ อย่างดียิ่ง

Previous Post

N2107002 แก วน ำใบเด ยวเปล ยนช ตเธอในค ำค นน นตลอดไป part1

Next Post

N2107002_แก วน ำใบเด ยวเปล ยนช ตเธอในค ำค นน นตลอดไป_part2

Next Post
N2107002_แก วน ำใบเด ยวเปล ยนช ตเธอในค ำค นน นตลอดไป_part2

N2107002_แก วน ำใบเด ยวเปล ยนช ตเธอในค ำค นน นตลอดไป_part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N2207006_เขาแค_จะมาทานข_าวแต_กล_บได_ร__ความล_บของชายคนน__ _731__1851131895429244_part2
  • N2307003_กแท ๆกล บกลายเป นคนใจร ายแม เส ยใจท ไม งไปต งแต แรก_part2
  • N2307005_ใครก นแน าอายเม อความจร งค อยๆเป ดเผยกลางถนน_part2
  • N2307002_ หยดเล_อดเด_ยวเป_ดเผยต_วตนท__แท_จร_งของสาวใช_ธรรมดา _541__563062883340619_part2
  • N2307004_ใครก นท กล าร งแกซ หล แล วผ ชายปร ศนาคนน อใครก นแน_part2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.