บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยยอดจดทะเบียนปี 2567 ทำได้ 9,189 คัน ลดลง 30% เมื่อเทียบกับปี 2566 ส่วนหนึ่งเพราะกลุ่มรถ Entry Level ของตนเองยอดขายตกไปพอสมควร หลังจากคู่แข่งกระหน่ำลดราคา โดนรถราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท แย่งส่วนแบ่งการตลาดไป บวกกับความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ส่งผลให้ยอดขายลดลงต่ำกว่า 1 หมื่นคันครั้งแรกในรอบ 3 ปี
นายมาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทไม่ได้มองถึงเป้าหมายที่จะทำยอดขายสูงๆ เพียงอย่างเดียว เพราะถ้าหากต้องการตัวเลขสวยๆ สามารถทำได้ง่ายๆ คือการลดราคา แต่บริษัทไม่ต้องการแบบนั้น โดยสิ่งที่สำคัญคือ การสร้างคุณค่า รักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์ พร้อมขับเคลื่อนผลประกอบการทางธุรกิจในระยะยาว
“ที่ผ่านมา เราอาจจะใช้โปรโมชันกับรถยนต์บางรุ่นที่เข้าสู่ปลายอายุโมเดล และต้องการกระตุ้นยอดขาย แต่ตามแผนงานปกติเราจะไม่กระโดดลงไปเล่นในสงครามราคา เพราะเราขายมูลค่า ไม่ได้ขายสินค้าราคาถูก ทั้งยังมุ่งมั่นส่งมอบคุณค่าของแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่มีความหรูหรา และเป็นที่ต้องการ ควบคู่ไปกับการนำเสนอประสบการณ์ที่เหนือระดับให้แก่ลูกค้า”
ในปี 2566 กลุ่มรถระดับ Top-End Luxury (เช่น S-Class และ Maybach) เติบโต 2% และกลุ่ม Core Segment (เช่น C-Class,E-Class) เพิ่ม 7% แต่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักจากสงครามราคาคือ รถ Entry Level (เช่น A-Class,GLA) ที่ยอดขายลดลงไป
“ปี 2567 ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจและการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาดรถหรู โดยเราเปิดตัวรถยนต์รวมกว่า 25 รุ่น หนึ่งในนั้นคือ The new E-Class ที่ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายเติบโต 65%”
สำหรับปีนี้ บริษัทเตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่จาก Mercedes-AMG พร้อมกัน 3 รุ่น ในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ 2025 พร้อมต่อยอดโมเดลธุรกิจ Retail of the Future และเสริมศักยภาพในการแข่งขันในตลาดด้วยการกำหนดกลยุทธ์ด้านราคา (Pricing Strategy) พร้อมครองตำแหน่งแบรนด์รถยนต์ลักชัวรี ที่มีเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย และศูนย์บริการมากที่สุดในประเทศไทย ด้วยจำนวนตัวแทนจำหน่ายกว่า 33 แห่ง และศูนย์บริการรวม 41 แห่ง
นอกจากนี้ ยังผลักดันตลาดรถพลังงานไฟฟ้า 100% ด้วยโปรแกรม EV Worry-Free Package ข้อเสนอพิเศษกับค่างวดเริ่มต้น 45,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 5 ปี ในรุ่น EQE 350 4MATIC SUV Electric Art โดยไม่ต้องวางเงินดาวน์ก้อนแรกและก้อนสุดท้าย (จบสัญญา 5 ปีคืนรถให้ เมอร์เซเดส-เบนซ์)
Toyota ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำยอดขายรถยนต์อันดับ 1 ของโลกเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน ด้วยยอดขายเกือบ 11 ล้านคันในปี 2024 แต่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีเพียง 1% เท่านั้น ในขณะที่แบรนด์รถยนต์ EV อื่น ๆ ต่างมียอดขายเพิ่มขึ้น
https://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-1553004308124680&output=html&h=280&slotname=5841968201&adk=1227403606&adf=744002976&pi=t.ma~as.5841968201&w=336&abgtt=6&lmt=1742464465&format=336×280&url=https%3A%2F%2Fev.iphonemod.net%2Ftoyota-still-no-1-global-but-ev-sale-only-1-percentage%2F&wgl=1&uach=WyJXaW5kb3dzIiwiMTAuMC4wIiwieDg2IiwiIiwiMTM0LjAuNjk5OC4xNjYiLG51bGwsMCxudWxsLCI2NCIsW1siQ2hyb21pdW0iLCIxMzQuMC42OTk4LjE2NiJdLFsiTm90OkEtQnJhbmQiLCIyNC4wLjAuMCJdLFsiR29vZ2xlIENocm9tZSIsIjEzNC4wLjY5OTguMTY2Il1dLDBd&dt=1743232050520&bpp=4&bdt=443&idt=70&shv=r20250327&mjsv=m202503270201&ptt=9&saldr=aa&abxe=1&cookie=ID%3Dd9464c5a60bfe897%3AT%3D1741687920%3ART%3D1743231757%3AS%3DALNI_MbUDudO-GAzBbQFTxplRyx9HgI4vg&gpic=UID%3D0000105d540e04e0%3AT%3D1741687920%3ART%3D1743231757%3AS%3DALNI_MaA6sqo9C__8lbLrNafsiEck2_w6g&eo_id_str=ID%3D23d59756e92b9a84%3AT%3D1741687920%3ART%3D1743231757%3AS%3DAA-AfjbS8-NPgM4JUpdwgVQQfAs1&prev_fmts=0x0&nras=1&correlator=7317210887256&frm=20&pv=1&u_tz=420&u_his=11&u_h=1080&u_w=1920&u_ah=1040&u_aw=1920&u_cd=24&u_sd=1&dmc=8&adx=588&ady=1086&biw=1905&bih=953&scr_x=0&scr_y=0&eid=31091242%2C95353420%2C95356500%2C95356505%2C31091376%2C95355300%2C95356928%2C31061690&oid=2&pvsid=3384018324895150&tmod=329218219&uas=0&nvt=1&ref=https%3A%2F%2Fwww.google.com%2F&fc=1920&brdim=0%2C0%2C0%2C0%2C1920%2C0%2C1920%2C1040%2C1920%2C953&vis=1&rsz=%7C%7CeEbr%7C&abl=CS&pfx=0&fu=0&bc=31&bz=1&td=1&tdf=2&psd=W251bGwsbnVsbCxudWxsLDNd&nt=1&pgls=CAEQBRoGMy4xOC4z&ifi=2&uci=a!2&btvi=1&fsb=1&dtd=77
https://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-1553004308124680&output=html&h=250&slotname=7715762004&adk=1829404434&adf=929438329&pi=t.ma~as.7715762004&w=300&abgtt=6&lmt=1742464465&format=300×250&url=https%3A%2F%2Fev.iphonemod.net%2Ftoyota-still-no-1-global-but-ev-sale-only-1-percentage%2F&wgl=1&uach=WyJXaW5kb3dzIiwiMTAuMC4wIiwieDg2IiwiIiwiMTM0LjAuNjk5OC4xNjYiLG51bGwsMCxudWxsLCI2NCIsW1siQ2hyb21pdW0iLCIxMzQuMC42OTk4LjE2NiJdLFsiTm90OkEtQnJhbmQiLCIyNC4wLjAuMCJdLFsiR29vZ2xlIENocm9tZSIsIjEzNC4wLjY5OTguMTY2Il1dLDBd&dt=1743232050524&bpp=1&bdt=447&idt=83&shv=r20250327&mjsv=m202503270201&ptt=9&saldr=aa&abxe=1&cookie=ID%3Dd9464c5a60bfe897%3AT%3D1741687920%3ART%3D1743231757%3AS%3DALNI_MbUDudO-GAzBbQFTxplRyx9HgI4vg&gpic=UID%3D0000105d540e04e0%3AT%3D1741687920%3ART%3D1743231757%3AS%3DALNI_MaA6sqo9C__8lbLrNafsiEck2_w6g&eo_id_str=ID%3D23d59756e92b9a84%3AT%3D1741687920%3ART%3D1743231757%3AS%3DAA-AfjbS8-NPgM4JUpdwgVQQfAs1&prev_fmts=0x0%2C336x280&nras=1&correlator=7317210887256&frm=20&pv=1&u_tz=420&u_his=11&u_h=1080&u_w=1920&u_ah=1040&u_aw=1920&u_cd=24&u_sd=1&dmc=8&adx=606&ady=1383&biw=1905&bih=953&scr_x=0&scr_y=0&eid=31091242%2C95353420%2C95356500%2C95356505%2C31091376%2C95355300%2C95356928%2C31061690&oid=2&pvsid=3384018324895150&tmod=329218219&uas=0&nvt=1&ref=https%3A%2F%2Fwww.google.com%2F&fc=1920&brdim=0%2C0%2C0%2C0%2C1920%2C0%2C1920%2C1040%2C1920%2C953&vis=1&rsz=%7C%7CeEbr%7C&abl=CS&pfx=0&fu=0&bc=31&bz=1&td=1&tdf=2&psd=W251bGwsbnVsbCxudWxsLDNd&nt=1&pgls=CAEQBRoGMy4xOC4z&ifi=3&uci=a!3&btvi=2&fsb=1&dtd=88
Toyota ยังคงเป็นเบอร์ 1 ของโลก 5 ปีซ้อน แต่ยอดขายรถยนต์ EV มีเพียง 1% เท่านั้น
Toyota ครองยอดขายอันดับ 1 ในปี 2024 ด้วยยอดขายมากกว่า 10.8 ล้านคัน ซึ่งรวมถึงแบรนด์ Daihatsu, Hino และแบรนด์หรูอย่าง Lexus ด้วย แต่ยอดขายของ Toyota ก็ลดลงถึง 3.7% จากยอดขายในปี 2023 ที่ทำยอดไว้ 11.2 ล้านคัน
ในปี 2024 พบว่ายอดขายภายใต้แบรนด์ Toyota และ Lexus ลดลงประมาณ 1.4% จากปี 2023 ด้วยยอดขาย 10.1 ล้านคัน ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีที่ยอดขายตกเมื่อเทียบรายปี
โดยยอดขายที่ลดลงส่วนใหญ่เป็นผลมาจากยอดขายในประเทศที่ลดลงถึง 20% เนื่องจากปัญหาใบรับรองรถยนต์ที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ Toyota ต้องหยุดการผลิตรถยนต์รุ่นยอดนิยมอย่าง Prius, Yaris Cross และ Corolla Fielder
ส่วนยอดขายในต่างประเทศก็ลดลงด้วยเช่นกันในตลาดสำคัญ ๆ เช่น จีน (-6.9%) อินโดนีเซีย (-9.5%) และไทย (-17.1%) ซึ่ง Toyota เผยว่าผลกระทบที่ทำให้ยอดขายรวมลดลงคือ การเปลี่ยนไปใช้ยานยนต์พลังงานใหม่ และการแข่งขันด้านราคาที่เข้มข้นขึ้น
