การรีวิวรถยนต์ระดับ Luxury Full Size ด้วยการจั่วหัวว่าเป็นเหมือนกับ Private Jet นั้น ถูกใช้มาโดยบ่อยครั้งจนอาจเรียกได้ว่าเป็น Cliche ของวงการสื่อยานยนต์ทั่วโลกเลยทีเดียว
ก็ในเมื่อการจินตนาการถึงการเดินทางด้วย Private Jet ซึ่งเป็นสิ่งหรูหรามีเฉพาะแต่บรรดาเศรษฐีเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้สัมผัส อีกทั้งยังเป็นการเดินทางที่สะดวกสบาย ถ้าหากไม่ตกหลุมอากาศผู้โดยสารก็แทบจะไม่ได้สัมผัสแรงสะเทือนใดเลย และยังเป็นการเดินทางที่มีความรวดเร็วทันใจ ไม่ว่าไกลแค่ไหนก็สามารถที่จะถึงที่หมายได้ในเวลาอันสั้น มันไม่แปลกเลยที่ยานพาหนะบนบกก็จะถูกเปรียบเทียบกับการเดินทางระดับสูงเช่นนั้น
ซึ่งทั้งหมดนี้ เราสามารถนำมาเปรียบเทียบกับรถที่เราจะมาทำการรีวิวในวันนี้อย่าง Mercedes-Maybach S 580 e Premium (Plug-in Hybrid) ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าการเปรียบเทียบรถกับ Private Jet นั้น แม้ว่าอาจจะดูจำเจ แต่ก็เข้าใจได้ง่าย ถึงกระนั้น สำหรับรถรุ่นนี้ การจะบอกว่ามันเป็นเพียง Private Jet อย่างเดียว ก็จะไม่สามารถอธิบายถึงลักษณะที่แท้จริงของรถรุ่นนี้ได้ทั้งหมด…
เพราะมันคือ Private Jet เต้นระบำ!
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? อ่านต่อไปสิครับ แล้วจะได้คำตอบ

เมื่อไม่นานนี้ ทาง Mercedes-Benz Thailand ได้เชิญทีมงาน Headlightmag ไปออกทริปขับขี่รถยนต์รุ่นพิเศษต่าง ๆ ณ จังหวัดกระบี่ ซึ่งท่านผู้อ่านและผู้ชมก็คงจะได้เห็นคอนเทนต์ทยอยลงกันเรื่อย ๆ สำหรับวันนี้ เราจะมาบอกเล่าประสบการณ์การขับขี่ของหนึ่งในรถที่เราได้ไปสัมผัสกัน นั่นคือ Maybach S 580 e นั่นเอง
Mercedes-Maybach S-Class เป็นหนึ่งในรถตระกูล Mercedes-Benz S-Class ซึ่งเพิ่งจะเปลี่ยนโฉมเป็นเจเนอเรชั่นที่ 7 รหัสตัวถัง W223 เมื่อปี 2021 และถือได้ว่าเป็นรุ่นสูงสุดของโมเดล

Mercedes-Maybach S 580 4MATIC Premium ถูกเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยเดือน สิงหาคม 2022 ในฐานะรถนำเข้าทั้งคันแบบ CBU ราคาจำหน่าย 18,300,000 บาท
ก่อนที่ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2023 มีการเปิดตัวเวอร์ชั่นผลิตในประเทศแบบ CKD ที่โรงงานธนบุรีประกอบรถยนต์ อีกทั้งยังปรับขุมพลังมาเป็นแบบ Plug-in Hybrid ในเวอร์ชั่นขับเคลื่อนล้อหลังแทนรุ่น S 580 4MATIC นั่นทำให้ราคาจำหน่ายของ Mercedes-Maybach S 580 e Premium ลดลงไปจากรุ่น S 580 มากกว่า 8.4 ล้านบาท หั่นราคาลงมาเหลือเพียง 9,880,000 บาท แม้ว่ายังจะฟังดูมหาศาล แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ราคาจำหน่ายกระโดดไปเกือบ 18 ล้านบาทแล้วนั้น นับได้ว่าทำให้รถรุ่นนี้มีความคุ้มค่ามากกว่าเดิมอย่างเทียบไม่ได้
ขนาดและมิติตัวถัง / Dimension
- ความยาว 5,469 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,921 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,510 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 3,396 มิลลิเมตร
- ความจุถังนำ้มัน 67 ลิตร
- พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง 325 ลิตร
มิติตัวถังของ Maybach S 580 นั้น ความแตกต่างจาก S-Class ทั่วไป อยู่ที่ระยะของฐานล้อ ซึ่งส่งผลต่อความยาวโดยรวม โดยทั้งระยะฐานล้อและความยาวโดยรวมนั้น ยาวกว่า S-Class ปกติอยู่ 180 มิลลิเมตร
รูปลักษณ์ภายนอก / Exterior
สิ่งแรกที่เด่นชัดที่สุดของ Mercedes Maybach S 580 e คือความคล้ายคลึงในเรื่องรูปโครงตัวถังเมื่อเปรียบเทียบกับ Mercedes Benz S-Class รุ่นทั่วไป ถ้าหากนึกย้อนกลับไปถึงช่วงที่ Daimler นำแบรนด์ Maybach กลับมาทำตลาดใหม่ในต้นยุค 2000 Maybach เป็นรถที่ได้ตัวถังแบบพิเศษ แม้ว่าจะแชร์พื้นฐานจาก S-Class แต่ชิ้นส่วนต่าง ๆ นั้นใช้ร่วมกันไม่ได้


ในขณะที่ Mercedes Maybach S 580 e ครั้งเอาชื่อกลับมาเป็นรุ่นย่อยสูงสุดครั้งใหม่นี้ ที่เริ่มต้นจาก S-Class เจเนอเรชั่นที่แล้ว จะบอกว่าชิ้นส่วนตัวถังเหมือนกับ S-Class ปกติทั้งหมด ก็ไม่ถูกต้องนั้น เพราะในรายละเอียดต่าง ๆ มีการปรับชิ้นส่วนตัวถังให้แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ตั้งแต่ด้านหน้าสุดของตัวรถ กระจังหน้านั้นถูกออกแบบเพื่อใช้กับ Mercedes Maybach โดยเฉพาะ โดยลวดลายเป็นแนวตั้งตรง ซึ่งสอดรับกับเส้นโลหะบนฝากระโปรงหน้าที่เสริมเข้ามา เปลือกกันชนหน้าก็มีความแตกต่างเช่นกัน โดยช่องดักลมด้านข้างนั้นเป็นรูปทรงรีมากกว่า โค้งมนมากกว่า และมีการตกแต่งด้วยวัสดุโครเมี่ยมคาดยาว






สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ คือโคมไฟหน้าแบบ Digital Light ซึ่งถ้าหากเราบอกว่าเป็นหนึ่งในไฟหน้าสำหรับรถยนต์ ที่ดีเยี่ยมที่สุดในรถยนต์ทุกระดับ ก็คงไม่ผิดนัก ทั้งในเรื่องของความสวยงาม ความคมของเส้นแสงที่ฉายส่องเส้นทางด้านหน้า รวมไปถึงความสามารถในการลดแสงรบกวนด้วยการตัดการฉายแสงบางจุด ซึ่งถ้าหากผู้อ่านเคยเห็นในวีดีโอโปรโมท ก็อาจจะดูน่าทึ่ง แต่เทียบไม่ได้เลยกับเมื่อเราได้ทำการทดสอบจริงบนท้องถนน
นอกจากไฟหน้า Digital Light ที่สามารถตัดช่องแสงรบกวนต่อวัตถุตรงหน้า จะทำให้ไม่ไปสะท้อนเข้ากระจกมองหลังของยานพาหนะขนาดเล็กกว่าด้านหน้าแล้วนั้น ยังทำให้ผู้ขับขี่มองเห็นว่าที่ด้านหน้านั้นมีวัตถุอะไรบางอย่าง ซึ่งอาจจะสังเกตได้ยากถ้าหากมีเพียงแสงไฟส่องสว่างขนาดเล็ก

ถัดมาในส่วนของด้านข้างนั้น จะทำให้เราเห็นความแตกต่างในเรื่องโครงสร้างที่ชัดเจนที่สุด นั่นคือ ประตูหลังที่ยาวกว่าของ S-Class อย่างชัดเจน จากการที่ Mercedes Maybach ถูกขยับฐานล้อออกไปอีก 180 มิลลิเมตร ดังนั้นประตูหลังจึงแตกต่างกัน และเส้นโครเมี่ยมด้านล่างประตูก็ต้องถูกสร้างขึ้นมาใหม่พิเศษเช่นกัน แต่ถ้าหากยังรู้สึกว่าไม่พอ บริเวณเสา B ก็มีการประดับด้วยโลหะปัดเงา และมีตรา Maybach ติดอยู่ที่บริเวณเสา C
ในส่วนของด้านท้ายนั้นก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจาก S-Class ปกติมากนัก มีเพียงการประดับชิ้นส่วนชายล่างกันชนที่แตกต่างออกไป รับกับช่องของท่อไอเสีย และโลโก้ที่ระบุตรงฝาท้ายว่านี่คือ Mercedes Maybach ไฟท้ายนั้นเป็นแบบ LED RGBW ซึ่งในเวลาปกติ เม็ดส่องสว่างจะแสดงสีเป็นสีแดง แต่ถ้าหากต้องเปลี่ยนฟังก์ชั่นเป็นไฟเลี้ยว หรือไฟถอย ก็จะสามารถเปลี่ยนสีเป็นสีส้ม หรือสีขาวตามจำเป็นได้


ทั้งหมดถูกปิดท้ายด้วยล้ออัลลอย Maybach Forged Wheel ขนาด 20 นิ้ว ซึ่งคู่กับยางขนาดด้านหน้า 255/40R20 ด้านหลัง 285/35R20 ล้อชนิดนี้เป็นลายตัน 5 ก้านสีโครเมี่ยม ซึ่งดูหรูหราแตกต่างสไตล์รถ Luxury ที่เราคุ้นตากัน
รถคันที่เราลองขับ เป็นสีทอง Kalahari Gold ซึ่งเป็นสีพิเศษ Manufaktur เพิ่มเงิน 500,000 บาท
ระบบกุญแจ เป็นแบบ KEYLESS-GO พร้อมกุญแจ Wave key ซึ่งปลดล็อกให้อัตโนมัติเมื่ออยู่ใกล้ประตู และหากต้องการสั่งล็อกประตู ก็สามารถทำได้โดยใช้นิ้วแตะที่ช่องสี่เหลี่ยมด้านข้างมือจับประตูทั้ง 4 บาน หรือจะกดปุ่มล็อก – ปลดล็อก จากกุญแจรีโมทก็ทำได้ นอกจากนี้ยังมีระบบสวิตช์ปลดล็อกฝาท้าย และระบบ Immobilizer และระบบเตะเปิดฝาท้าย Hands-Free Access










ภายในห้องโดยสาร / Interior
สิ่งแรกที่สะดุดทุกสายตาเมื่อเปิดประตู Mercedes Maybach S 580 e Premium คือไฟ Welcome Light ที่ส่องลงพื้นเป็นรูปตรา Maybach และเมื่อก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะคนขับ เราสามารถอธิบายความรู้สึกได้ว่าคล้ายกับเมื่อเห็นรูปลักษณ์ภายนอก เนื่องจากมันมีความคล้ายคลึงกับ Mercedes Benz S-Class รุ่นปกติอยู่มากพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องของโครงสร้าง ตำแหน่ง รูปทรงของชิ้นส่วนต่าง ๆ แต่ถ้าสังเกตในรายละเอียดดี ๆ แล้ว จะพบว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นมีอยู่มากพอสมควร



เริ่มต้นที่สีของภายใน ซึ่ง Maybach S 580 e ทุกคันจะเป็นสี Macchiato Beige ซึ่งเป็นสีทางเลือกสำหรับ S 350 d ด้วย แต่ลายไม้ Manufaktur Brown Walnut นั้น มีให้เฉพาะกับ Maybach โดยในส่วนของวัสดุหุ้มเบาะนั้นเป็นหนัง Nappa ทั้งคัน และผ้าหลังคาเป็นผ้า Dynamica Microfiber
เบาะนั่งในตำแหน่งด้านหน้าของ Mercedes Maybach S 580 e เหมือนกับของ S-Class ปกติ ซึ่งหมายความว่ามันไม่เหมือนเบาะนั่งรถยนต์ แต่เหมือนโซฟาที่พร้อมจะรองรับให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้าเดินทางไกลได้อย่างไม่เหนื่อยล้าอ่อนแรงแต่อย่างใด อีกทั้งระบบปรับไฟฟ้าที่มีความละเอียด ควบคู่กับพวงมาลัยปรับสูงต่ำ และเข้าออก Telescopic ทำให้ผู้ขับขี่สามารถหาตำแหน่งที่นั่งขับซึ่งพอดีได้อย่างไม่ยากเย็นเลย


พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน รูปทรงเหมือนกับของ S-Class รุ่นปกติ หุ้มด้วยหนัง Nappa เช่นเดียวกัน และมาพร้อมกับระบบ Touch Control ตามสไตล์ของ Mercedes ในปัจจุบัน
มาตรวัดนั้นเป็นแบบดิจิตอล เช่นกัน เป็นไปตามสไตล์ของ Mercedes ในปัจจุบัน แต่สำหรับ Mercedes Maybach จะมีโหมดแสดงผล Maybach โดยเฉพาะ ซึ่งคล้ายกับโหมด Classic เดิม แต่มีโลโก้และรูปแบบเฉพาะที่แตกต่างออกไป





บริเวณคอนโซลกลาง มีหน้าจอ OLED ขนาด 12.8 นิ้ว สำหรับระบบ Infotainment และระบบควบคุมเครื่องปรับอากาศ Climate Control ทำงานภายใต้ระบบปฏิบัติการ MBUX ซึ่งรองรับระบบสั่งการด้วยเสียงผ่านฟังก์ชั่น Hey Mercedes และสั่งการด้วยท่าทาง Gesture Control 2.0 อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อระบบ Apple Carplay/Android Auto เพื่อความสะดวกได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเราพูดถึงรถ Ultra Luxury เช่นนี้ ไฮไลท์หลักจะไปอยู่ที่ส่วนของผู้โดยสารตอนหน้าได้กระไร ส่วนของผู้โดยสารตอนหลังต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งด้วยฐานล้อที่ยาวขึ้น รวมไปถึงการขยับตัวเบาะให้ถอยหลังร่นไป จนพนักพิงศีรษะอยู่บริเวณกระจก Opera ซึ่งสำหรับ Mercedes Maybach S-Class นั้นจะติดกับตัวโครงรถ ไม่ได้ฝังอยู่ในประตูแบบ S-Class รุ่นทั่วไป