ตลาดรถยนต์ในเมืองไทย ตลอดปี 2018 ปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์ ด้วยตัวเลขยอดขายสรุปจากทาง Toyota Motor (Thailand) ว่ามีจำนวนมากถึง 1,039,158 คัน นับเป็นสถิติยอดขายรถยนต์รวมในประเทศไทย สูงเกินกว่า 1 ล้านคัน ได้เป็นครั้งแรก ในรอบ 4 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา และถือเป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์ประเทศไทย เพิ่มขึ้นจากปี 2017 / 2560 ซึ่งอยู่ที่ 871,647 คัน มากถึง 19.2% แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 397,542 คัน เพิ่มขึ้น 14.8% รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 641,616 คัน เพิ่มขึ้น 22.1% รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง SUV/PPV) 511,676 คัน เพิ่มขึ้น 20.6% รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 447,069 คัน เพิมขึ้น 22.6% และ SUV/PPV 64,607 คัน
แนวโน้มที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ซึ่งยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องมาถึงปีนี้ นั่นคือ ความนิยมในรถยนต์นั่งกลุ่ม SUV ทั้งขนาดเล็ก และ ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ การเติบโต ของกลุ่ม Sub-Compact (B-Segment) Crossover SUV ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่ครองตัวเป็นโสด หรือเพิ่งเริ่มมีครอบครัว จะเป็นลูกค้ากลุ่มสำคัญที่จะขับเคลื่อนยอดขายบรรดารถยนต์ B-Segment Crossover SUV เหล่านี้ ให้เติบโตขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตลาดรถเก๋ง C-Segment ประกอบในประเทศ มีแนวโน้มที่จะฟื้นกลับมาอีกครั้ง จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในภาพรวม สวนทางกับรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ D-Segment ประกอบในประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2014 ด้วยเหตุผลที่ว่า ลูกค้าจำนวนไม่น้อย เบื่อรถเก๋ง หรือมีปัญหาน้ำท่วมแถวบ้านและที่ทำงานอยู่เนืองๆ จึงอยากได้รถยนต์ยกสูงจำพวก SUV มากขึ้น โดยหวังว่าจะลุยน้ำท่วมได้มากกว่ารถเก๋งทรงเตี้ยที่พวกเขาขับใช้งานกันอยู่ นอกจากนี้ ลูกค้าส่วนใหญ่ มองว่า ด้วยค่าตัวระดับ 1.3 – 1.8 ล้านบาทที่ไล่เลี่ยกัน SUV จะมีพื้นที่ห้องโดยสารมากกว่า และบรรทุกผู้โดยสารพร้อมสัมภาระได้มากกว่ารถเก๋งแบบเดิม นั่นจึงทำให้ ยอดขายของ SUV ทั้งแบบ Crossover Urban SUV และ SUV/PPV ที่สร้างจากเฟรมแชสซีส์รถกระบะ จึงเพิ่มขึ้นและเบียดบังส่วนแบ่งตลาดของรถเก๋ง D-Segment ไปมาก
ไม่เพียงเท่านั้น การที่ผู้ผลิต Premium Brand ฝั่งยุโรป ต่างเปิดตัวรถยนต์ขนาดเล็ก ราคาถูก ออกมา เรียกลูกค้าในช่วง 3 ปีมานี้ เพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้าที่คิดจะซื้อ รถเก๋ง D-Segment ตัดสินใจเพิ่มเงินอีกนิด เพื่อขยับขึ้นไปอุดหนุน รถเก๋ง หรือ SUV จาก ค่ายยุโรป เพื่อหวังผลด้านภาพลักษณ์ของตนเองและครอบครัว มากขึ้น ทำให้รถเก๋งกลุ่มนี้ ทั้ง Toyota Camry , Honda Accord และ Nissan Teana ต้องหันไปพึ่งพาตลาดกลุ่ม Fleet และลูกค้า Young Generation ซึ่งเป็นคนโสด แต่มีรายได้สูงเป็นพิเศษ ซึ่งมีจำนวนไม่เยอะนัก
ขณะเดียวกัน ตลาดกลุ่มหลักของเมืองไทย อย่างรถกระบะ ก็ยังมีการฟาดฟันกันต่อเนื่อง ปี 2018 ที่ผ่านมา Toyota ปรับโฉม Minorchange ให้กับ Hilux Revo จนสามารถทำยอดขาย กลับขึ้นมาแซง Isuzu D-Max ได้อีกครั้ง ขณะที่ Ford ได้สร้างกรณีศึกษาด้านการตลาดครั้งใหม่ ด้วยการเปิดตัวรถกระบะที่แพงสุดเท่าที่เคยมีมาในบ้านเราอย่าง Ford Ranger Raptor แต่ทำสถิติ โควต้ายอดขายของประเทศไทย สำหรับปี 2018 ทั้ง 2,000 คัน ถูกจับจองหมดในเวลารวดเร็ว ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อ Ford ค้นพบปัญหา Defect ของระบบส่งกำลัง ก็รีบแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว ผิดไปจากในอดีตอย่างมาก ขณะเดียวกัน Mitsubishi Triton ก็ถูกปรับโฉม Big Minorchange ใหม่ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2018 และได้รับความสนใจจากลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อีกกระแสสำคัญ ที่ยังเกิดขึ้นต่อเนื่องจากปี 2018 และจะต่อเนื่องถึงปี 2019 นั่น คือ การที่ประชาคมสื่อมวลชน และ ผู้นำความคิด หรือผู้นำธุรกิจจากทั่วโลก ต่างมองว่า รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทั้ง Hybrid , Plug-in Hybrid หรือ EV (Electric Vehicle) จะเริ่มได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับการเตรียมพร้อมให้กับผู้บริโภค เพื่อเตรียมนำเทคโนโลยี รถยนต์ขับขี่เองอัตโนมัติ Autonomous Drive พร้อมกับระบบ Ai (Artificial Intelligence) เข้ามาใช้กับรถยนต์ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป
สำหรับในประเทศไทย ยังคงมีปัญหามากมาย เพราะจากคำถามที่ผู้เขียน เคยตั้งไว้ในบทความเดียวกันนี้เมื่อปีแล้ว ว่า “เราคนไทย พร้อมจริงๆหรือ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า?” ดูเหมือนว่า ผ่านไปแล้ว 1 ปี ก็ยังไม่มีคำตอบแน่ชัดจากทั้งภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีเพียงผู้ผลิตอย่าง Hyundai Kia และ Nissan รวมทั้ง BYD จากจีน เท่านั้น ที่พยายามจะเข้ามาเปิดตลาดรถยนต์ไฟฟ้า EV ในบ้านเรา ทว่า เมื่อเปิดตัวออกมา ราคารถยังแพงกว่าตัวเลขในใจของผู้บริโภคไปมาก ทำให้เสียงเรียกร้องของกลุ่มประชาชนที่อยากใช้รถยนต์ไฟฟ้า ค่อยๆเหี่ยวแห้งเพราะหมดหวังไปในระดับหนึ่ง แทบไม่ต้องไปนับรถยนต์ไฟฟ้า จากผู้ผลิตชาวไทยหน้าใหม่อย่าง EA ซึ่งดูจะยังต้องใช้เวลาอีกนาน กว่าจะพร้อมออกจำหน่ายได้จริง
ในปีนี้ ผู้เขียน จะยังขอยืนยันความคิดเห็นเดิมเหมือนเช่นปีที่แล้ว นั่นคือ สิ่งที่เราอยากเห็นภาครัฐ ดำเนินงานควบคู่ไปกับภาคเอกชน ในช่วงที่เรากำลังจะเริ่มก้าวเข้าสู่ยุครถยนต์พลังงานไฟฟ้า เต็มรูปแบบ นอกเหนือจากการให้ความรู้กับประชาชน และผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย ถึงคุณประโยชน์ และข้อควรระวังในการใช้งานรถยนต์เหล่านี้แล้ว เราควรเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน เช่นสถานีชาร์จไฟแบบเร่งด่วน (Quick Charge) ตามสถานที่สำคัญต่างๆ ให้เพียงพอกับความต้องการที่จะค่อยๆเพิ่มมากขึ้น อาจต้องสร้างแรงจูงใจในการลงทุนให้กับภาคเอกชน ในการนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมทั้งสถานีชาร์จไฟ หรือ ตู้ชาร์จตามบ้าน มาผลิต/ประกอบในประเทศไทย เป็นกรณีพิเศษในระยะเวลาสั้นๆ ทั้งเพื่อการจำหน่ายในประเทศ และ การส่งออกไปยังต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน เราจำเป็นต้องเร่งส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี และ องค์ความรู้ ให้กับนักเรียน นิสิต นักศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันอาชีวะศึกษาทั่วประเทศ เพื่อผลิตบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และ เชี่ยวชาญในการซ่อมบำรุง การดูแลรักษา ไปจนถึงการพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้า ให้เพิ่มมากขึ้นกว่านี้ เพื่อรองรับการขยายตัวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ไม่เพียงเท่านั้น เรายังต้องคิดและวางแผนเรื่องการกำจัดของเสีย แบตเตอรี่ชำรุดหมดอายุการใช้งาน และ ชิ้นส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นระบบ เข้มงวด รัดกุม และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของชุมชนให้น้อยที่สุดอีกด้วย

ปี 2019 นี้ มีสิ่งที่จะต้องจับตามองด้วยกัน 6 ประเด็นสำคัญ ดังนี้
- เราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในตลาดรถยนต์ขนาดเล็ก ที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะนับจากปลายปีนี้เป็นต้นไป กลุ่มรถยนต์นั่ง B-Segment อาจถูกรวมเข้ากับ ECO-Car “ในทางพฤตินัย” ด้วยเหตุจากแรงจูงใจด้านภาษีสรรพสามิต จึงทำให้ผู้ผลิตทั้งหลาย พากันลดความจุกระบอกสูบ Downsizing แล้วเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ๆเข้าไปในเครื่องยนต์ เช่นระบบอัดอากาศ TurboCharger เพื่อให้มลพิษต่ำลงจนเข้าข้อกำหนดของโครงการ ECO Car Phase 2 ให้ได้ ดังนั้น ผู้ผลิตที่ล้าหลัง ปรับตัวช้ากว่าชาวบ้าน อาจอยู่ไม่รอด
ในระยะยาว Honda จะมีการเปลี่ยนแปลงที่เยอะมากสุด เพราะ จะยกเลิกการทำตลาด ECO-Car รุ่น Brio แล้วเปิดตัว Honda City และ Jazz ใหม่ ด้วยเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร Turbo 120 แรงม้า (PS) ลงมาสู้ในกลุ่ม B-Segment ECO-Car ด้วย ขณะที่ Nissan และ Mitsubishi Motors ต่างก็มีคิวจะต้องเปิดตัว Nissan Almera Full ModelChange และ Mitsubishi Mirage Full Model Change ชนกัน พร้อมๆกัน 3 แบรนด์รวด ในช่วง ไตรมาส 4 ของปี 2019 นี้ด้วยเช่นกัน การแข่งขันที่รุนแรงของตลาด B-Segment นี้ จะลากยาวไปจนถึงปี 2020 ซึ่งจะมี Mazda 2 ใหม่ และ Mitsubishi Attrage ใหม่ เปิดตัวตามมา ก่อนจะซาลงในปี 2021 และกลับมาคึกคักอีกครั้งในปี 2022 จากการเปิดตัว Toyota B-Segment ECO-Car รุ่นใหม่ยกตระกูล - ตลาดรถยนต์นั่ง C-Segment (1.6 – 2.0 ลิตร) จะกลับฟื้นคืนความคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2019 จะมีการเปลี่ยนโฉมใหม่ แบบ Full ModelChange ของผู้เล่นรายสำคัญในตลาดกลุ่มนี้ ทั้ง Mazda 3 และ Toyota Corolla Altis ใหม่ เพื่อท้าชิง แชมป์อันดับ 1 ในกลุ่มนี้อย่าง Honda Civic นอกนั้น กว่าที่ Nissan จะพร้อมส่ง C-Segment รุ่นใหม่ มาเปิดตัวทำตลาดแทน Nissan Sylphy อาจต้องรอกันจนถึงปี 2020
- ให้จับตาดูการฟาดฟันกันของ 4 ผู้ผลิตรถยนต์ระดับ Premium ทั้ง Audi ,BMW , Mercedes-Benz และ Volvo ให้ดี เพราะทุกค่าย ต่างจะเตรียมแผนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่จนอุ่นหนาฝาคั่ง ชนิดที่เยอะมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะ กลุ่ม Premium C-Segment ซึ่งมี BMW 3-Series G20 Full ModelChange , Mercedes-Benz C-Class Plug-in Hybrid Minorchange และ Volvo All New S60 ใหม่ รวมทั้งกลุ่ม SUV ไปจนถึงกลุ่ม High Performance Brand ทั้ง Mercedes-AMG และ BMW ตระกูล M ที่จะพร้อมใจกันออกมาดวลศึกกันอย่างหนัก ในปี 2019
- ด้านรถยนต์พลังงานทางเลือก เราจะได้เห็นบรรดารถยนต์แบบ Plug-in Hybrid เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยเพิ่มมากขึ้น แต่สำหรับใครที่คาดหวังจะเห็นรถยนต์ไฟฟ้า EV รุ่นอื่นๆ นอกเหนือจาก Nissan LEAF , Kia Soul EV และ Hyundai Ioniq แล้ว ต้องขอบอกว่า จะมีเพียง 3 รุ่น ที่น่าสนใจจริงๆ นั่นคือ Hyundai Kona Electric ที่จะเปิดตัวในช่วงงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคมนี้ รวมทั้ง Mercedes-Benz EQC SUV , และ MG eZS เท่านั้น
- กลุ่ม รถกระบะ จะมีการเปลี่ยนแปลง ที่น่าจับตามอง ตั้งแต่ปีนี้ จนถึง 2022 ทั้งการเข้ามาของผู้เล่นหน้าใหม่ ที่ยังน่ากังขาถึงการดูแลลูกค้า อย่าง MG Pickup ในช่วง ไตรมาส 3 ปี 2019 รวมทั้งการเปลี่ยนโฉม / ปรับโฉม ทั้ง Full ModelChange และ Minorchange ที่จะเริ่มจาก Isuzu D-Max ใหม่ ในช่วงปลายปี 2019 , Mazda BT-50 PRO ใหม่ ปี 2020 เช่นเดียวกับ Chevrolet Colorado ในปี 2020 ,Toyota Hilux Revo Minorchange ปี 2020 , Nissan Navara Minorchange ปี 2020 Mitsubishi Triton ปี 2021 และ Ford Ranger ที่ควงคู่มากับ Volkswagen Amarok ในปี 2022
- ส่วน SUV / PPV ประกอบในประเทศไทย อาจมีเพียงแค่การปรับอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆ หรือปรับโฉม Minorchange ให้กับ Toyota Fortuner , Mitsubishi Pajero Sport Minorchange , Isuzu MU-X และ Urban SUV อย่าง Nissan X-Trail เท่านั้น เพราะทุกค่าย ต่างยังคงพากันซุ่มเงียบ พัฒนารถกระบะ และ SUV/PPV รุ่นใหม่ เพื่อไปถล่มกันตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป
เป็นประจำทุกต้นปีที่ J!MMY จะเขียนบทความสรุปความเคลื่อนไหวของปีก่อน และ สรุปความเคลื่อนไหว ของบรรดารถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่จะเปิดตัวในปีนี้ รวมทั้ง Update ข้อมูลการพัฒนา รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ล้ำไปไกลล่วงหน้าก่อนสื่อรายใดถึง 4 ปี เผยแพร่ลงในเว็บไซต์ ของเรา Headlightmag.com เป็นประจำในช่วงเดือนมกราคม เพื่อเป็นของขวัญ สำหรับคุณผู้อ่าน ใช้เป็นข้อมูลในการเตรียมวางแผนซื้อรถยนต์ล่วงหน้า หรือสำหรับเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ของผู้คนที่ทำงานในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ของบ้านเรา
แต่ในปีนี้ จะพิเศษมากกว่าปีก่อนๆ เพราะ คุณ Pan Paitoonpong จะร่วมให้ข้อมูล ในบทความนี้ โดยมุ่งเน้นไปที่ รถยนต์จากผู้ผลิตฝั่งยุโรปทั้งหมด ซึ่งจะเจาะลึกลงไปละเอียดกว่าปีก่อนๆค่อนข้างมาก และคาบเกี่ยวต่อเนื่องไปจนถึงปี 2022 และ 2023 ในบางกรณี
ความเคลื่อนไหวในตลาดรถยนต์เมืองไทยนับจากปี 2019 นี้ จนถึงปี 2022 จะเป็นอย่างไร จะมีรถยนต์รุ่นไหนเข้ามาเปิดตัวในบ้านเรา รอให้ได้เป็นเจ้าของกัน และมีเทคโนโลยีอะไรที่จะเข้ามาให้ผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัสกันบ้าง ทุกอย่างทุกข้อสงสัย มีคำตอบให้คุณได้อ่านกันแล้ว…ข้างล่างนี้…!
***หมายเหตุ***
1. ปีนี้ บางค่าย จะไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ทำตลาด อาจมีเพียงแค่รุ่นกระตุ้นตลาดเท่านั้น แต่เราก็ยังคงบรรจุแบรนด์เหล่านั้น ไว้ในบทความประจำปีนี้ เพราะในปี 2020 แต่ละค่ายเหล่านั้น จะกลับมามีความเคลื่อนไหวกันอีกครั้ง
2. ปีนี้ มีรายชื่อของแบรนด์รถยนต์ ที่เราจำเป็นต้องขอถอดออกจากบทความสรุปในปีนี้อย่างน่าเสียดาย ดังนี้
- Alfa Romeo : แม้ว่าจะมีพ่อค้าชาวสิงค์โปร์ สั่งนำเข้า Alfa Romeo มาเปิดตลาดเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา ด้วยวิธีการพิลึกพิลั่น คือ ให้ลูกค้าสั่งซื้อผ่าน Internet แต่ไม่มีศูนย์บริการ ให้ไปหาซ่อมกันเอาเอง เราก็ขอไม่นับการทำตลาดแบบนี้ เนื่องจากเป็นผู้นำเข้าราย่อย ซึ่งทาง Headlightmag มีนโยบาย ไม่ลงบทความใดๆให้กับผู้ค้ารายย่อยทุกรายอยู่แล้ว
- Citroen กับ Skoda ได้ยุติการทำตลาดในประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว ในปี 2017 ที่ผ่านมา อย่างน่าเสียดายยิ่ง เหตุผลที่เราพอบอกได้ก็คือ ” มีปัญหาภายในองค์กรหลายประการ ”
- Fiat, Lotus, Proton ยังคงถูกถอดออก เพราะไม่สามารถสืบหาข้อมูลแผนการนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดในบ้านเราได้เลยจริงๆ และตลอดปี 2018 ที่ผ่านมา แทบทุกแบรนด์ที่เอ่ยนามมาข้างต้น ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆในตลาดบ้านเราเลย
- ทางฝั่ง Peugeot อาจมีรถยนต์รุ่นใหม่ ออกขายอยู่ แต่ยากเกินจะสืบหาแนวทางว่าจะนำรถยนต์รุ่นใดเข้ามาจำหน่ายในอนาคต
- ด้าน Ssangyong นั้น แม้จะยังดำเนินกิจการอยู่ และยังไม่หนีหายไปไหน แต่หลังอกหักจากการทดลองนำ Tivoli เข้ามาทดลองตลาด เมื่อปี 2016 และขายได้แค่เพียง 2 คัน ทำให้ เราแทบไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆของแบรนด์ SUV จากเกาหลีใต้รายนี้ อีกเลย
- ขณะเดียวกัน Volkswagen ก็เพิ่งประกาศจับมือกับ Ford ทำรถกระบะในบ้านเรา ดังนั้น ปีนี้จึงขอจับรวบยอดเอาไว้กับแบรนด์ Ford เป็นกรณีพิเศษเลยก็แล้วกัน เพราะนอกเหนือจากนั้น ก็แทบไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นใดเลย ปล่อยให้ตัวแทนจำหน่าย ในบ้านเรา (ไทยยานยนต์) ขายแต่รถตู้ Caravelle รุ่นล่าสุดกันต่อไป เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น ในเวลานี้
- ไม่เพียงเท่านั้น เรายังขอตัด Tata Motors ออกจากบทความ เนื่องจากพวกเขา เพิ่งประกาศยุติการผลิตรถกระบะในประเทศไทยไปเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2018 ที่ผ่านมา ดังนั้น Tata Motors จะยังคงสั่งนำเข้ารถบรรทุกขนาดเล็ก Tata Ace มาทำตลาดต่อไป และเท่ากับว่า จะไม่มีความเคลื่อนไหวในฝั่งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และ รถกระบะในประเทศไทย ไปอย่างไม่มีกำหนด จึงไม่มีความจำเป็นต้องนำเสนอความเคลื่อนไหวใดๆที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ส่วนบุคคลและรถกระบะของ Tata อีกนับจากนี้
- ส่วนค่ายรถยนต์จากประเทศจีน ทุกราย ขอยังไม่นำมารวมในครั้งนี้ เนื่องจากนโยบายต่างๆของบริษัทเหล่านี้ ไม่ค่อยจะนิ่งพอ
3. ข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้ ได้รับการตรวจสอบและยืนยันแล้วว่าถูกต้อง ตรงกับข้อมูลที่เราได้รับจากหลายแหล่งข่าว ณ วันที่นำบทความชิ้นนี้ ขึ้นเผยแพร่ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป อาจมีข้อมูลดิบ และ/หรือ ข้อมูลที่กลั่นกรองแล้วปรากฎขึ้นอีกได้ตลอดเวลา ข้อมูลเหล่านั้น อาจคลาดเคลื่อนหรือเพิ่มเติมข้อมูลเดิมจากบทความชิ้นนี้ย่อมเป็นไปได้ เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น เนื่องจากรายงานข่าวประเภทเจาะโครงการลับ หรือ Spyshot นั้น ไม่มีสื่อมวลชนเล่มใดรายใดในโลก ที่รายงานได้ถูกต้อง ตรงกับความเป็นจริง 100% ต่อให้เป็นฝรั่งมังค่าก็ตาม
คุณผู้อ่านควรติดตามข่าว “ ด้วยวิจารณญาณ เหตุผลในเชิงตรรกะ หรือเกมการตลาดอย่างปราศจากอคติ ” รวมทั้งศึกษาจากข้อมูลที่ปรากฎอยู่ในสื่ออื่นๆ ประกอบกันด้วยอยู่เสมอ เพื่อความสดใหม่ของข้อมูล โดยเฉพาะ ช่วงหลังจากบทความนี้ เผยแพร่สู่สาธารณชนแล้ว
4. บทความนี้ ใช้อ้างอิงได้ 1 ปี คือนับจากวันที่ 1 มกราคม 2019 ถึง 31 ธันวาคม 2019 เท่านั้น หลังจากนี้ ให้ติดตามอ่านข้อมูลอัพเดทได้ จากบทความสรุปรถใหม่ 2020 – 2023 ในเดือน มกราคม 2020
5. ถ้าต้องการนำบทความนี้ ไปเผยแพร่ที่ไหน ติดต่อมาที่ JIMMY@headlightmag.com เพื่อ ขออนุญาตกันเสียให้ถูกต้องตามธรรมเนียม ก่อนจะนำไปเผยแพร่ ต่อไป ทั้งนี้ ขอสงวนสิทธิ์ในการอนุญาต เพื่อให้นำไปเผยแพร่ เพื่อเป็นประโยน์แก่สาธารณชน และ ไม่ใช่เพื่อนำไปใช้ในทางธุรกิจใดๆทั้งสิ้น
เมื่อได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ได้ ขอความกรุณา ขึ้นเครดิตของผู้เขียน และทำลิงค์ มายัง เว็บไซต์ Headlightmag.com ให้ถูกต้องเรียบร้อยด้วย การนำบทความไปเผยแพร่ต่อ โดยไม่ขึ้นเครดิต และไม่มีการบอกกล่าวมายังข้าพเจ้า หรือนำบทความนี้ไปดัดแปลงเป็นบทความของตนเอง ถือเป็นการ ละเมิดลิขสิทธิ์ ผู้ละเมิด จะถูกดำเนินคดี ตามที่ กฎหมายบัญญัติไว้ สูงสุด โดยไม่มีการยอมความใดๆทั้งสิ้น!
(โดยเฉพาะพวกหน้าด้าน copy ไปทั้งดุ้น หรือ Copy ไปดัดแปลง ตกแต่งแก้ไข เพื่อโพสต์ใน Website หรือ Facebook หรือ ลอกไปลงใน ช่อง YouTube ของตนเองกันโครมๆ ปีก่อนๆ ก็จัดการกันมาบ้างแล้ว ถ้ายังไม่ฟัง ก็จะต้องเจอไม้แข็งกันเสียบ้าง อย่าชุ่ย ! มักง่าย ! แค่ส่งอีเมลล์มาขอนำไปลงเว็บกันดีๆ เราก็อนุญาตแล้ว ไม่เห็นจะยากเย็นวุ่นวายนักหนา หาก ไม่ใช่เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า ก็ยินดีอนุญาตให้นำไปเผยแพร่เกือบจะทุกรายอยู่แล้ว ใส่ ชื่อผู้เขียน ชื่อเว็บไซต์ และทำลิงค์ให้เว็บไซต์ของเราด้วย แค่นี้ หวังว่าคงไม่ยากไปนะครับ !
แต่สำหรับพวกที่อ้างตัวว่าเป็นสื่อมวลชน บางจำพวก รวมทั้ง พวกเพจผีใน YouTube ถ้าจะให้ดี ก็ควรหาข้อมูลเอง เขียนบทความเอง กันเสียบ้าง ไม่ใช่สักแต่ว่าจะลอกงานคนอื่นเขาไปเรียกยอดเพจยอด Like ยอด Subscribe กันอย่างไร้ยางอาย !)

Aston Martin
- 2019 : DBX (Brand New SUV)/ DBS Superleggera Volante/ Rapide EV/ Valkyrie (World Premier) / DBS Superleggera (Thailand Premier)
- 2020 : DBX (Thailand Premier) / New Mid-engine supercar
- 2021 : Lagonda Brand New Saloon
ปีที่่แล้ว Heritage Motor Sales & Service ผู้นำเข้ารถสปอร์ตแบรนด์คู่ใจสายลับ 007 จากสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการ ในเครือของ MGC Asia (Milllenium Group) นำรถสปอร์ตรุ่น Vantage ใหม่ Full ModelChange เข้ามาอวดโฉมในงาน Bangkok International Motor Show เมื่อ 28 มีนาคม 2018 พรอมเปิดราคาไว้ที่ 16.99 ล้านบาท ตามด้วยการเผยโฉม DB11 V8 Volante ในงาน BIG Motor Sales เมื่อ 16 สิงหาคม 2018 ก่อนที่จะจัดงานเปิดตัว Vantage อย่างเป็นทางการอีกครั้ง เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2018 ณ สถานฑูตอังกฤษ และทั้งหมดนั่น คือความเคลื่อนไหวของ Aston Martin ในบ้านเราตลอดปีที่ผ่านมา
สำหรับปี 2019 เราคงต้องจับตาดูโครงการพัฒนา SUV คันแรกของค่าย อย่าง Aston Martin DBX ที่ต้องเกิดมาเพื่อเข้าร่วมชิงส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่ม Luxury SUV ซึ่งมีคู่แข่งที่ดูสมน้ำสมเนื้อกันที่สุด อย่าง Porsche Cayenne กับ Maserati LeVante เขายึดครองอยู่นานแล้ว หากไม่ทำออกมาขายกับเขาบ้าง ก็อาจมีปัญหาเรื่องผลประกอบการตามมาในอนาคตแน่ๆ ล่าสุด พวกเขาเพิ่งปล่อยภาพถ่ายแบบ Official Spyshot (ภาพรถทดสอบ ที่ทางโรงงาน ถ่ายเอง เผยแพร่เอง) ทั้ง 6 รูป ข้างบนนี้ เมื่อ 13 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา
เครื่องยนต์ของ DBX จะมีให้เลือกทั้งแบบ เบนซิน V8 4.0 ลิตร Twin Turbocharger กับ เบนซิน V12 Fourcam 48 วาล์ว 5.2 ลิตร Twin Turbocharger ซึ่งยกมาจาก Aston Martin Vantage และ DB11 ที่วางจำหน่ายอยู่แล้วในปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกันทาง Aston Martin ก็ต้องการที่จะพัฒนาขุมพลังของตัวเองขึ้นมาใช้ แหล่งข่าวจากต่างประเทศ ระบุว่า พวกเขากำลังซุ่มพัฒนา ขุมพลัง Hybrid ซึ่งมีเครื่องยนต์แบบ 6 สูบเรียง Turbocharger พ่วง มอเตอร์ไฟฟ้า เป็นตัวสร้างโอกาสทางการขาย สำหรับประเทศที่มีภาษีอัตราพิเศษสำหรับรถยนต์ Hybrid และยังช่วยลดค่าเฉลี่ยการปล่อยก๊าซ CO2 (carbon dioxide) ของรถยนต์ทั้งหมดในค่ายลงจากเดิม
อย่างไรก็ตาม เครื่องยนต์ใหม่นี้จะยังไม่มีให้เลือกในวันที่ DBX เปิดตัวสู่ตลาดโลก ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2019 คงต้องรอหลังจากนั้นอีกพักใหญ่ สำหรับประเทศไทย เราอาจต้องรอกันจนถึงงาน Bangkok International Motorshow 2020 จึงจะได้เห็น DBX จอดอวดโฉมอยู่ในงาน ด้วยค่าตัวที่อาจจะแพงเกิน 18 ล้านบาท ไปพอสมควร

ประเด็นเรื่อง CO2 เป็นเรื่องใหญ่ของผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกในตอนนี้ โดยเฉพาะผู้ผลิตรถสปอร์ตระดับสูงทั้งหลาย การที่ Aston Martin ต้องการขายรถให้ได้มากกว่า 10,000 คันต่อปีทั่วโลก ทำให้ต้องเข้ากฎของ สหภาพยุโรป ว่าด้วยการพิจารณาการปล่อยมลภาวะเฉลี่ยของรถยนต์ทั้งค่าย ในอดีต Aston Martin เคยสร้างแต่รถสปอร์ต เครื่องยนต์ V8 และ V12 ขนาดใหญ่โตนั้น ไม่ได้เกื้อหนุนในเรื่องนี้ จนต้องเล่นมุกสุดพิสดาร ด้วยการสั่งซื้อ Toyota IQ มาดัดแปลงเป็น Aston Martin Cygnet ออกขาย แบบไม่ค่อยเต็มใจนัก เพื่อลดค่าเฉลี่ย CO2 ของทั้งค่ายลง ในตอนนี้ Aston Martin กำลังมองหาทางออก ในแบบที่สามารถทำให้ลูกค้าพอใจได้ และ Aston Martin Rapide-E คือหนึ่งในคำตอบจากพวกเขา
Rapide-E 5ถูกพัฒนาขึ้นด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรอย่าง Williams Advanced Engineering (WAE) โดยเวอร์ชันต้นแบบ ออกเผยโฉมครั้งแรก เมื่อ 21 ตุลาคม 2015 ก่อนที่ Aston Martin จะออกมายืนยันการผลิตออกจำหน่ายจริง เมื่อ 26 มิถุนายน 2017 และล่าสุด เพิ่งมีการออกมายืนยันอย่างเป็นทางการ ถึงสเป็ก และตัวเลขทางเทคนิค เมื่อ 12 กันยายน 2018
Rapide-E ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 65kWh เชื่อมต่อกับแบ็ตเตอรี Lithium-ion ขนาด 800 V ที่ให้กำลังรวมสูงถึง 610 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 950 นิวตันเมตร สามารถเดินทางได้ไกลกว่า 320 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้ง สวมยาง Pirelli P Zero ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายในเวลาต่ำกว่า 4 วินาที อัตราเร่ง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต่ำกว่า 1.5 วินาที!! และทำความเร็วสูงสุดได้ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Rapide-E จะถูกสร้างขึ้นที่โรงงาน St. Athan แห่งเดียวกับสายการผลิตของ DBX เบื้องต้น Aston Martin ยืนยันตัวเลขการผลิตว่าจะจำกัดจำนวนไว้เพียงแค่ 155 คัน แต่ถ้าได้รับความนิยมเกินคาดก็จะขยายจำนวนการผลิตต่อไประหว่างรอการพัฒนารถไฟฟ้ารุ่นถัดไป โดยมีกำหนดเริ่มผลิตในไตรมาสที่ 4 ของปี 2019

เมื่อกลางปีที่ผ่านมา Aston ได้เผยโฉมรถรุ่น DBS Superleggera ซึ่งมีตำแหน่งทางการตลาดเสมือนมาแทนรุ่น Vanquish โดยการนำเครื่องยนต์ 5.2 ลิตรทวินเทอร์โบ 12 สูบจาก Mercedes-AMG ที่อยู่ใน DB11 มาปรับแต่งเพิ่มพลังจนได้แรงม้าถึง 725 แรงม้า เพิ่มขึ้นจาก Vanquish V12 มากกว่า 100 ตัว เวอร์ชั่นหลังคาแข็งนี้จะพร้อมสำหรับการเปิดตัวในประเทศไทยในปี 2019 โดยอาจมีการโชว์โฉมก่อนในช่วง Bangkok International Motorshow แล้วค่อยประกาศราคา (ซึ่งไม่น่าจะถูก เพราะถือเป็นสปอร์ตไลน์ปกติรุ่นสูงสุดของค่าย)
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ที่เมืองนอก ก็จะมีการเปิดตัว DBS Superleggera Volante ซึ่งก็คือเวอร์ชั่นเปิดประทุนของตัวโหด 725 แรงม้านั่นเอง ทั้งนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะมีการนำเวอร์ชั่นเปิดประทุนมาขายในไทยหรือไม่

สำหรับสปอร์ตรุ่นเล็กอย่าง Vantage นั้น แม้ว่าเพิ่งเปิดตัวรุ่น V8 Twin Turbo ในเมืองไทยไปเมื่อปี 2018 แต่สายข่าวของเราที่ยุโรปก็ตาคม ไปเจอ Vantage แบบที่มีท่อไอเสีย 4 ท่อวิ่งทดสอบอยู่แถว Nurburgring จึงเป็นไปได้ว่า Aston Martin มีแผนที่จะนำ Vantage ออกจำหน่ายหลากรุ่นหลายแบบเช่นเดียวกับในเจนเนอเรชั่นก่อน ดังนั้น เราจะมีโอกาสได้เห็น Vantage S ที่เพิ่มพลังจาก 510 เป็น 550 แรงม้า และ..เราอาจได้เห็นการกลับมาของ Vantage V12S ซึ่งคงใช้ขุมพลังอื่นใดไปไม่ได้นอกจากรุ่น 5.2 ลิตร Twin Turbo ที่ประจำการอยู่แล้วใน DB11 ทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นในปี 2019 – 2020

หนึ่งในแผนการดำเนินธุรกิจของ Aston Martin คือ “จะต้องมี Hyper Car ราคาสูงเสียดฟ้าขายเสมอ” เนื่องจากพวกเขามองว่ามันเป็นตัวสร้างรายได้ชั้นดี (ไม่เหมือนกับ Bugatti Veyron ซึ่งขาดทุนในทุกคันที่ขาย)หังจากประสบความสำเร็จไปแล้วกับ Aston Martin Vulcan คราวนี้ พวกเขาก็จะส่ง Aston Martin Valkyrie Hyper Car เครื่องยนต์วางกลางลำตัว Mid-ship Engine เบนซิน 12 สูบ DOHC 48 วาล์ว 6.5 ลิตร พ่วงการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า จนมีพลังมากมายถึง 1,130 แรงม้า (PS) !!! พวกเขาตั้งเป้าว่าจะผลิต Valkyrie ในจำนวนจำกัดแค่ 150 คัน โดยจะใช้เป็นรถแข่ง 25 คัน และส่งให้ลูกค้าทั่วไป 125 คัน มีกำหนดเริ่มส่งมอบให้ลูกค้าตั้งแต่ช่วงปลายปี 2019 นี้ ไปจนถึงปี 2020
อีกหนึ่งโครงการลับของ Aston Martin ที่ Andy Palmer CEO ของค่ายเคยกล่าวไว้ในปี 2017 ก็คือ Super Car เครื่องยนต์วางกลางลำตัว Mid-Ship Engine เขามองว่าใน Line Up ปกติ จะมีแค่รถสปอร์ต หรือ GT อย่าง Vanquish กับ DBS Superleggera จากนั้นข้ามมาอีกทีก็จะเป็น Hyper Car ที่ “แค่รวยยังซื้อไม่ได้” อย่าง Vulcan และ Valkyrie นั่นแปลว่า ยังมีพื้นที่สำหรับรถ Super Car อีกรุ่นที่จะมาแทรกตัวตรงกลางได้ Palmer มองว่า Aston มีความสามารถในการผลิตรถสปอร์ตแบบ Mid-Ship Engine ได้ รวมทั้งยังมีขุมพลัง 4.0 ลิตร กับ 5.2 ลิตร ที่มีสมรรถนะสูงอยู่แล้ว ดังนั้น จึงมีโอกาสที่จะได้เห็นคู่แข่งของ Ferrari 488GTB, McLaren 720S, และ Lamborghini Huracan ออกมาในช่วงปี 2020-2021

สำหรับ Lagonda ซึ่งเป็นแบรนด์ย่อยใหม่ภายใต้การดูแลของ Aston จะเน้นการทำรถหรูหราที่มีขนาดตัวโตกว่าและแพงกว่ารถรุ่นปกติ เพิ่งจะเผยโฉมรถยนต์ต้นแบบ Lagonda Vision Concept ไปในงาน Geneva Motor Show เมื่อ 6 มีนาคม 2018 ในปัจจุบันยังไม่มีการเผยรายละเอียดออกมาเท่าไหร่ พวกเขาบอกเพียงแต่ว่า เส้นสายบนรถต้นแบบคันนี้ จะปรากฎอยู่บน Lagonda Saloon 4 ประตู ที่มีกำหนดจะออกสู่ตลาดในปี 2021 เป็นลำดับแรก ก่อนที่รุ่น Coupe และ SUV ตามออกมาใน 1 ปีหลังจากนั้น
———————————

Audi
- 2019 : A1/ A3/ Q3/ Q4/ Q6/ A4 Minorchange / e-tron / TT Minorchange
- 2020 : Q7 Minorchange
- 2021 : Q9 Flagship SUV/ e-tron GT production version
Audi ในประเทศไทยโดยผู้แทนจำหน่าย Meister Technik ทำเซอร์ไพรส์ด้วยการเร่งเวลานำเข้ารถหลายรุ่นในช่วงปี 2018 ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น A7 Sportback, A8, Q8 และส่งท้ายปีด้วย A6 Avant โดยสำหรับ Q8 นั้นต้องขอบคุณพลังของทีมงานชาวไทยที่เจรจาจนได้ขาย Q8 พวงมาลัยขวาเป็นตลาดแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเปิดตัวหลังเยอรมนีแค่ราว 4 เดือนเท่านั้น
สำหรับปี 2019 Meister Technik เพิ่งยื่นเรื่องขอรับส่งเสริมการลงทุน ในกิจการรถยนต์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนกับทาง BOI ทันก่อนครบกำหนดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2018 ที่ผ่านมา สดๆร้อนๆ โดยวางแผนการลงทุนใช้ชิ้นส่วนในประเทศ และตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศ เพียงแต่ว่า เราจะได้เห็น Audi Made in Thailand ได้ ก็ต้องรอจนกว่ายอดขายในแต่ละปี จะปีนข้ามระดับ 3,000 คัน ขึ้นไป ซึ่งนั่นก็น่าจะไม่นานเกินรอ
ไม่เพียงเท่านั้น ในปีนี้ Audi “จะมีการเปิดตัวรถใหม่ ทุก 2 เดือน” เพื่อแสดงให้ประจักษ์ว่าพี่มาคราวนี้ มาจริง และลูกค้าจะได้เห็นรถยนต์รุ่นใหม่ๆ อย่างที่เมืองนอก ได้ใช้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เริ่มต้นกันด้วยรุ่น Entry Level สำหรับพาลูกค้า เริ่มเปิดประตูสู่แบรนด์สี่ห่วง ในช่วงแรกที่เริ่มทำตลาดเมืองไทย Audi มี Q2 เป็น Crossover รุ่นเล็ก ที่ขายไม่ค่อยออก เพราะเปิดราคามาแรงถึง 2 ล้านบาทต้นๆ ลูกค้าเห็นแล้วไม่ปลื้ม ทำให้ต่อมา ต้องลดราคาลงเหลือ 1.99 ล้านบาท จนพอจะระบายสต็อกไปได้ ดังนั้น ปีนี้ Audi จึงเตรียมนำเข้า Audi A1 รถเล็กพริกขี้หนู ที่มีความสดใหม่มากที่สุดรุ่นหนึ่งในขณะนี้ เพราะเพิ่งเปิดตัว ในตลาดโลก เมื่อ 18 มิถุนายน 2018 ที่ผ่านมา พวกเขาคาหวังว่า A1 จะช่วยขยายโอกาสในการจับลูกค้ากลุ่มที่เริ่มต้นตัดสินใจมองหา “Premium Brand คันแรกในชีวิต” รวมถึงเป็นไก่ชนพิกัดเล็กเอาไว้คอยกวนใจ MINI Hatchback เล่นๆ
ขุมพลังที่มีจำหน่ายในตลาดโลกช่วงเริ่มต้น ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.0 ลิตร Turbocharger 94 (PS) และ 116 แรงม้า (PS) ตามมาด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร Turbocharger 150 แรงม้า (PS) และปิดท้ายด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbocharger 200 แรงม้า (PS) โดยไม่มีเงาของขุมพลัง Diesel ให้เห็นกันเลย
เราอาจต้องรอให้ A1 พวงมาลัยขวา ถูกนำไปขึ้นสายการประกอบกันเสียก่อน จึงจะมีลุ้นว่าอาจได้เห็การเปิดตัวในบ้านเรา ช่วงครึ่งหลังของปี 2019 นี้ โดยยังไม่มีรายละเอียดว่าจะได้เครื่องยนต์แบบใดมาให้คนไทยเลือก
ความเห็นของผู้เขียน (Pan Paitoonpong) มองว่าผู้ซื้อรถยุโรปไม่น่าพอใจกับขุมพลัง 1.0 ลิตร แต่เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรนั้นมีแรงเพียงพอ และถ้าจัดออพชั่นรุ่นเริ่มต้นแบบเท่ากับที่มีใน Q2 ก็จะเป็นรถยุโรปแบรนด์พรีเมียมที่ราคาถูกที่สุดรุ่นหนึ่ง ในขณะที่รุ่น 2.0 ลิตรนั้นคงมีราคาทะลุ 2 ล้าน แต่หากได้รับการสนับสนุนจากทางเมืองแม่ที่เยอรมนี อาจทำราคาในระดับ 2 ล้านบานต้นๆ ลูกค้าจะได้รถเล็กตัวแรงขับสนุกจากเมืองเบียร์ในราคาที่วัยรุ่นซื้อได้ แม้จะไม่ใช่รุ่น quattro แต่ด้วยเทคนิคช่วงล่างและโครงสร้างพื้นตัวถัง MQB เหมือน Golf GTi Mk.7 มันต้องมีพิษสงประทับใจคนเท้าหนักแน่นอน

รุ่นต่อไปที่ “ยังไงๆ ก็ต้องมาเมืองไทยแน่ๆ” นั่นคือ Audi TT Minorchange เผยโฉมในตลาดโลกตั้งแต่ 19 กรกฎาคม 2018 ก็จะมาเปิดตัวในไทย ปี 2019 เป็นหนึ่งในรถ 6 รุ่นที่เป็นกุญแจหลักสำหรับฟันยอดขายในปีหน้า ที่ผ่านมา TT ถือเป็นรถแจ้งเกิดให้กับทางผู้แทนจำหน่ายในไทย เพราะครึ่งหนึ่งของรถที่ขายได้ทั้งปี เป็น TT รุ่น quattro 45TFSI
รุ่นใหม่อาจใช้ขุมพลังเดิม ที่จับคู่กับเกียร์ S-tronic เปลี่ยนจาก 6 เป็น 7 จังหวะ ซึ่งน่าจะช่วยให้ TT ปล่อยมลพิษน้อยลงและประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น..มากพอให้หาล้อัลลอย ที่หน้าตาดูดีกว่าเดิม สวมเข้าไปแล้ว ยังทำการทดสอบ จนค่า CO2 ไม่เกิน 150 กรัม/กิโลเมตรได้หรือไม่

อีกรุ่นที่น่าสนใจก็คือ Audi A3 ตัวถัง 8V ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2013 และเพิ่ง Facelift ไปในปี 2017 หากจะนำเข้ามาจำหน่าย อาจต้องพิจารณาความคุ้มค่าในการนำรถยนต์ที่ใกล้หมดอายุโมเดลมาขายในประเทศไทย ในปัจจุบัน Audi กำลังนำรถทดสอบพรางตัวของเจนเนอเรชั่นถัดไปวิ่งทดสอบอยู่ในยุโรป โดยมีกำหนดเผยโฉมในตลาดบ้านเกิดในช่วงกลางปี 2019 นี้ ดังนั้นในเมื่อ A3 ตัวถัง 8V ใกล้วันตกรุ่นขนาดนี้ จะเอาเข้ามาขายในไทยแค่ปีเดียวจะคุ้มหรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถตระกูล A นั้นไม่ใช่บ่อทำเงินหลักของ Meister Technik
ถ้าจะนำรุ่นปัจุบันมาขายเล่นก่อน 1 ปีนิดๆ และพิจารณาตามสไตล์การทำตลาดของ Audi เราคงได้รุ่น 1.4 ลิตร Turbocharger ขับเคลื่อนล้อหน้า กับอุปกรณ์ที่น่าจะใกล้เคียงหรือดีกว่าที่เราเห็นใน Q2 ไม่มากนัก เพราะการเป็นรถนำเข้า ถ้าหากประเคนอุปกรณ์เต็มพิกัดและใส่ระบบ quattro หรือเครื่องแรงๆ ราคาจะดีดไปไกลจน A-Class Sedan เห็นแล้วยิ้มรอเก๋ๆ

แต่ในกรณีของ Audi Q3 ใหม่ จะแตกต่างกันไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเวอร์ชั่นพวงมาลัยซ้ายเพิ่งเผยโฉมไปในเดือนกรกฎาคมปี 2018 และเป็นรถที่มีความได้เปรียบคู่แข่ง เพราะ BMW X1 ก็ขายมานานและยังไม่มีโมเดลใหม่จนกว่าจะจบทศวรรษนี้ อีกทั้งยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเจริญเติบโตในประเทศไทย ภายในปี 2019 เราจึงน่าจะมีโอกาสได้เห็น Q3 แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะได้ใช้เครื่องยนต์แบบใด อาจเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbocharger 190-230 แรงม้า (PS) และDiesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbocharger 190 แรงม้า (PS) ซึ่งเป็นเครื่องยนต์สหกรณ์วางขวางของ Audi ก็เป็นได้