
เบนซ์ EV G-Class เตรียมผงาดในปี 2024
รถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือ EV Car เป็นกระแสที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมันที่ขึ้นลงค่อนข้างผันผวน ตอนน้ำมันขึ้นก็ขึ้นครั้งละหลายบาท ในอนาคตอาจจะแพงมากกว่านี้หลายเท่า และส่วนหนึ่งมาจากกระแสการรณรงค์เรื่องมลพิษในอากาศ รถยนต์หนึ่งคันส่งมลพิษเป็นจำนวนมาก การฟื้นฟูด้วยการหันมาใช้ EV Car จะเป็นส่วนหนึ่งให้ก๊าซมลพิษลดน้อยลง รัฐบาลเองก็สนับสนุนการซื้อรถพลังงานไฟฟ้า ทั้งการลดภาษีนำเข้า การให้ส่วนลด และในอนาคตก็จะมีนโยบายอุดหนุนการซื้อรถพลังงานไฟฟ้ามากขึ้นกว่าเดิมอีก
รถเบนซ์ G-Class สุดคลาสสิคของเบนซ์สู่ EV Car

ยี่ห้อรถยนต์มีหลายยี่ห้อมาก และตอนนี้หลายแบรนด์ก็หันมาทำ EV Car ด้วย รวมถึง Mercedes Benz ที่จะนำรถเบนซ์สุดคลาสสิครุ่น G-Class มาเปลี่ยนเป็นรถพลังงานไฟฟ้า โดยรถ Mercedes Benz G-Class มีจุดเด่น ดังนี้
- เป็นรถ SUV ดีไซน์โดดเด่น
รถเบนซ์รุ่นนี้มาพร้อมดีไซน์ทรงตู้เย็นหรือทรงกล่อง ที่มีความโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ตัวรถจะมีความเป็นกล่องสี่เหลี่ยมอย่างชัดเจน มีพื้นที่ห้องโดยสารเยอะ นั่งสบาย ไม่อึดอัด
- อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีในรถ
ภายในรถเบนซ์ G-Class จะมีหน้าจอ Digital Widescreen Cockpit ที่มีความละเอียดสูง สำหรับเล่นสื่อที่ต้องการขณะขับขี่ เป็นหน้าจอสัมผัส ใช้งานสะดวก พร้อมระบบนำทาง COMAND Online: 3D Map ที่วิเคราะห์เส้นทางแบบ 3 มิติ พร้อมเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดให้ด้วย
- ช่วงล่างแข็งแรง ลุยได้ทุกที่
การออกแบบเรื่องความแข็งแรงก็ไม่น้อยหน้า มาพร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่ลื่นไหลและรวดเร็วอย่าง 9G-Tronic พร้อมช่วงล่างสุดทนทาน สามารถวิ่งบนพื้นที่ขรุขระได้โดยไม่กระทบกระเทือนเครื่องยนต์
- รถไม่สะเทือน นุ่มนวลทุกการนั่ง
ขึ้นชื่อว่าเป็นรถสายลุยแต่ภายในห้องโดยสารมีความนุ่มนวลมากด้วยระบบ Indenpendent suspension ที่แยกการสั่นสะเทือนของล้อซ้ายและขวาอย่างชัดเจน เป็นการเฉลี่ยน้ำหนักที่ดี
ฟังก์ชันภายในรถ Mercedes Benz G-Class ก็ดีจนกลายเป็นรถที่หลายคนอยากเป็นเจ้าของอยู่แล้ว พอมาเพิ่มฟังก์ชันกลายเป็น EV Car ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้รถมากขึ้นไปอีก อดใจรอไม่นานน่าจะยลโฉมและบางคนอาจจะเตรียมรอเป็นเจ้าของอยู่
แผนการวางจำหน่าย Mercedes Benz electric G-Class

CEO เมอร์ซิเดสเบนซ์ Ola Källenius ได้เผยถึงแผนการที่จะจำหน่าย Electric G-Class ของเมอร์ซิเดสเบนซ์ว่าจะพร้อมในจำหน่ายภายในปี 2024 โดยก่อนหน้านี้ทางเมอร์ซิเดสเบนซ์ได้มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าออกจำหน่ายในปี 2019 แล้ว และมีการจับตามองทิศทาง ฟีดแบ็ค และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง Mercedes Benz electric G-Class จึงเป็นความหวังใหม่ของรถพลังงานไฟฟ้าที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน มีความล้ำสมัย สไตล์โดดเด่นและคลาสสิคในคราวเดียวกัน รวมถึงเป็นรถที่เหมาะกับการใช้งานทุกไลฟ์สไตล์
นอกจาก Mercedes Benz electric G-Class แล้ว ทาง Mercedes Benz ยังมีแพลนที่จะออก EV Car รุ่นใหม่ ๆ อีก คาดว่าภายในปี 2030 รถทุกรุ่นของเบนซ์น่าจะกลายเป็น EV Car ทั้งหมด
กระแส EV Car กำลังมาแรงจริง ๆ จากตอนแรกที่คนยังคงประเมินความเสี่ยง ตอนนี้เริ่มมีการวางแผนซื้อไว้สักคัน ประกอบกับมีเงินอุดหนุนจากภาครัฐทำให้การซื้อรถ EV Car ทำได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญตอนนี้เริ่มมีการติดตั้งโซนชาร์จ EV Car และสถานีชาร์จกระจายอยู่หลายแห่ง ในอนาคตหากมีสถานีชาร์จครอบคลุม การใช้งานรถ EV Car จะต้องก้าวกระโดดกว่านี้ และรถทุกคันจะเปลี่ยนเป็นรถพลังงานไฟฟ้าเพื่อโลกของเรา
หลังจากที่ปรากฏตัวในรูปแบบของรถยนต์ทดสอบที่ถูกอำพรางมาหลายครั้ง ในที่สุด
ก็ได้เวลาที่จะกระชากผ้าคลุมของ Mercedes-Benz E-Class Coupe’ ออกเสียที
และ เป็นไปตามคาด ว่าชิ้นส่วนตัวถังตั้งแต่หลังเสา A-Pillar ไปนั้นเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด
และ ไม่สามารถใช้ร่วมกับตัวถัง 4 ประตูได้ แม้ว่าจะใช้ platform เดียวกันก็ตาม

เมื่อนำ E-Class Coupe รุ่นล่าสุด (รหัส C213) มาเทียบตัวเลขมิติตัวถังแล้วจะพบว่า
มากกว่ารุ่นก่อนหน้า (รหัส C212) ในหลายด้าน แต่ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่ได้หมายความว่า
C213 จะขับขี่ได้มั่นคงขึ้นเท่านั้นเพราะนั่นหมายถึงพื้นที่ในห้องโดยสารที่มากขึ้นอีกด้วย
ซึ่งพื้นที่วางขาของผู้โดยสารตอนหลังได้เพิ่มขึ้นมากถึง 74 มิลลิเมตร สำหรับตัวเลขมิติ
ตัวถัง มีข้อมูลตามตารางข้างล่างนี้
*เปรียบเทียบกับ C212 E500



สำหรับงานออกแบบของ E-Class Coupe มาในรูปแบบเดียวกันกับของ C-Class Coupe
และ S-Class Coupe ทั้งในส่วนของเส้นสายหลังคา และไฟท้ายแนวนอน ส่วนจุดเด่นของ
มันคือการที่ไม่มีเสาประตูพร้อมเสริมความหรูหราด้วยไฟ LED รอบคันพร้อมลูกเล่น
Welcome Light ที่ไฟท้ายซึ่งจะกะพริบไฟจากกลางตัวถังออกด้านนอกเมื่อปลดล็อค
และกะพริบไฟสลับฝั่งจากด้านนอกเข้าตรงกลางเมื่อล็อครถ



หากรูปลักษณ์การตกแต่งแบบ Avant-garde ในรูปแบบเดียวกับตัวถัง 4 ประตูยังไม่เป็น
ที่พอใจ ลูกค้าสามารถเลือกรุ่น AMG Line ได้ ความแตกต่างประกอบไปด้วยกันชนหน้า,
กันชนหลัง, กระจังหน้า Diamond Radiator, สเกิร์ตข้าง, ล้อขนาดใหญ่ขึ้น และดิสเบรก
หน้าขนาดใหญ่ขึ้น ภายในตกแต่งด้วยวัสดุ Artico/ Dinamica สีดำ เดินด้ายสีเทา เสริม
ด้วยพวงมาลัยแบบสปอร์ต นอกจากนี้ยังมี Night Package ที่ตกแต่งวัสดุต่างๆด้วยสีดำ
เงา พร้อมกับติดฟิล์มดำกระจกข้างด้วย


กลับมาดูภายในของรุ่นธรรมดากันต่อ โดยที่รุ่นเริ่มต้นใช้มาตรวัดวงกลมคู่ พร้อมหน้าจอ
ตรงกลางขนาด (960 x 540 pixels) ตกแต่งด้วยกรอบสีดำเงา ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็น
มาตรวัดความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้วได้แทน การควบคุมต่างๆ สามารถทำได้ผ่าน
ระบบสัมผัสที่พวงมาลัย และคอลโซลกลาง ทั้งยังมีระบบคำสั่งด้วย เสียง Linguatronic
สำหรับตัวเบาะมีหน้าตาคล้ายกับของตัวถัง 4 ประตู

การตกแต่งในห้องโดยสารมีทั้งไม้ และหนัง 2 สี ระหว่าง ดำ-แดง หรือ ดำ-ขาว ไฟใน
ห้องโดยสารเป็นหลอด LED แบบประหยัดพลังงานสามารถปรับสีได้ 64 สี นอกจากนี้
E-Class Coupe ยังมีระบบเชื่อมต่อเข้ากับมือถือซึ่งไม่ได้ทำได้แค่การชาร์จไฟแบบ
ไร้สายเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้มือถือเครื่องนั้นเป็นกุญแจรีโมทสำหรับล็อค และปลดล็อค
ประตูได้อีกด้วย


ขุมพลังจะมีให้เลือก 4 รุ่นเท่านั้นในตอนเริ่มต้น แบ่งเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 1 รุ่น และเครื่องยนต์
เบนซินอีก 3 รุ่น ให้กำลังสูงสุดตั้งแต่ 187-334 แรงม้า (PS) ทุกรุ่นมาพร้อมกับระบบ Eco Start/Stop
จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ส่งกำลงล้อคู่หลัง และในตอนนี้มีการเปิดเผยข้อมูล
เครื่องยนต์เพียง 1 รุ่นที่จะใช้ในรุ่น E220 d
เครื่องยนต์ดีเซลรหัส OM 654 ทำจากวัสดุอลูมิเนียมทั้งตัว ดีเซล 4 สูบ Commonrail
Twin Turbocharged 16 วาล์ว ขนาด 2.0 ลิตร 1,950 ซีซี. อัตราส่วนกำลังอัด 15.5 : 1
ให้กำลังสูงสุด 194 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที และ แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร
ที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic

นอกจากนี้ Mercedes-Benz ยังระบุด้วยว่า จะมีรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic รวมไปถึง
ตัวแรงจาก Mercedes-AMG รหัส E43 และ E63 ตามมาในภายหลัง
ช่วงล่างของ E-Class Coupe เป็นแบบ Direct Control Suspension ตั้งค่ามาให้เตี้ยกว่า
รุ่นตัวถัง 4 ประตูอยู่ 15 มิลลิเมตร ทั้งยังมีระบบ Dynamic Body Control ที่คนขับสามารถ
ปรับรูปแบบการขับขี่ได้ 3 ตัวเลือก ประกอบไปด้วย Comfort, Sport และ Sport+ นอกจากนี้
ยังสามารถติดตั้งระบบ Air Body Control เพิ่มได้ ซึ่งไม่ได้ให้การตอบสนองที่ดีกว่าเท่านั้น
เพราะมีรูปแบบการขับขี่แบบ Eco ให้เลือกด้วย


ระบบความปลอดภัยต่างๆ นั้นติดตั้งมาหลายรายการรวมไปถึงระบบเบรกอัตโนมัติ ที่สามารถ
ตรวจจับคนเดินถนนได้ Active Brake Assist, ระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติที่สามารถเว้นระยะห่าง
จากรถยนต์คันหน้าได้เอง สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง Drive Pilot
และระบบสั่งให้รถยนต์ถอดจอดอัตโนมัติผ่านรีโมท หรือมือถือ Remote Parking Pilot
แม้ว่าจะยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการว่า ราคาของ Mercedes-Benz E-Class Coupe’
จะอยู่ที่เท่าใด แต่มีการระบุเอาไว้แล้วว่าจะเปิดรับจองตั้งแต่สิ้นปีนี้เป็นต้นไป สำหรับการ
ส่งมอบอย่างเร็วที่สุดจะเริ่มขึ้นในเดือนเมษายนปีหน้า