• Movie 187
  • Movie 66
  • Sample Page
  • รีวิวหนังดี 294 – P1
  • รีวิวหนังดี 294 – P2
  • รีวิวหนังดี 294 – P3
reviewfilm.dailync91news.live
No Result
View All Result
No Result
View All Result
reviewfilm.dailync91news.live
No Result
View All Result

N0605005_แม่ทัพกำลังอาบน้ำแต่ถูกจู่โจม_part2

admin79 by admin79
May 4, 2025
in Uncategorized
0
N0605005_แม่ทัพกำลังอาบน้ำแต่ถูกจู่โจม_part2

ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา เรามักจะได้ยินเรื่องราวเล่าขาน หรือพบพานเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเอง อันเกี่ยวเนื่องกับการที่สังคมไทย ยกย่อง เชิดชู นับหน้าถือตา บรรดาเศรษฐีผู้มีอันจะกิน และรถยนต์ตราดาว ของพวกเขา กันอยู่เนืองๆ

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าสุดแสนจะ Classic เช่นว่า “ขับรถไปจอดตามห้างสรรพสินค้า หรือโรงแรม ถ้าขับรถญี่ปุ่น หรือรถยุโรปยี่ห้ออื่น รปภ หรือบริกรโรงแรม จะเพิกเฉย ไม่สนใจให้บริการ แต่พอคุณขับ Mercedes-Benz เข้ามา เท่านั้นและ แต่ละคนนี่ พลิกจากหน้ามือเป็นหลังตีนทันที รีบเข้ามากุลีกุจอ พินอบพิเทา เอาใจอย่างเอกเกริกเกินเหตุ

ไปจนถึงเรื่องราวที่ ผู้ใหญ่ในครอบครัวของเรา มักเล่าขานถึงความร่ำรวยของเพื่อนฝูงตนเอง ว่า รวยขนาดมีรถ Benz อยู่ในโรงจอดรถหลายคันเลยทีเดียว หรือแม้แต่เรื่องของคนจำนวนมาก ที่วัดความสำเร็จของคนที่ตนพูดถึง จากการมีรถ Benz ขับ ฯลฯ อีกมากมาย

คุณเคยสงสัยกันไหมครับ ว่าทำไมคนไทยเราถึงยกย่องเชิดชู “Mercedes-Benz” ในฐานะรถยนต์ที่มีภาพลักษณ์ดูหรู ดูรวย ดูมันอันจะกิน ในสายตาคนไทยทั่วไป มากขนาดนั้น ?

ทั้งที่จริงๆ แล้ว เมื่อเทียบเฉพาะตัวรถกับแบรนด์ระดับ premium ที่จำหน่ายและทำตลาดอยู่ในบ้านเรา ณ เวลานี้ เช่น Audi , BMW, Lexus หรือ Volvo ซึ่งบางรุ่นอาจจะหรูหรา ราคาแพง เทียบเท่า หรือมากกว่า เสียด้วยซ้ำ…

แต่เมื่อลองค้นหาคำตอบดู คุณจะพบที่มาของภาพลักษณ์ ในมุมมอง และวิธีคิดของผู้คนเหล่านั้น

Mercedes-Benz คือ รถยนต์ยี่ห้อแรกของโลก
Mercedes-Benz คือ รถยนต์คันแรกที่ถูกนำเข้ามาวิ่งบนถนนเมืองไทย (รถยนต์พระที่นั่ง Mercedes-Benz รุ่น 28 HP)
Mercedes-Benz คือ รถยนต์ของเจ้าขุนมูลนาย ในสมัยก่อน ที่ผู้คนในพระนครและหัวเมืองใหญ่ในอดีต เห็นกันมานาน

จึงไม่แปลกที่ทำให้ภาพลักษณ์ทางสัมคมของรถยนต์ Mercedes-Benz ในสายคนไทย กลายเป็นสัญลักษณ์ของยานพาหนะติดล้อ สำหรับคนรวย คนใหญ่คนโต จนทำให้คนไทยส่วนใหญ่ หรือ คนจีนที่อพยพเข้ามาในบ้านเรา ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา มีความคิดฝังใจอย่างหนึงว่า ถ้ารวยเมื่อไหร่ ต้องครอบครองเป็นเจ้าของเบนซ์ให้ได้ !!

แม้ที่ผ่านมาจะมีรถยนต์หลายรุ่น หลายประเภท จากแต่ละแบรนด์ ที่ถูกสร้างขึ้น ตามความรู้ และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น ออกสู่ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า วันเวลาที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ลดทอนคุณค่า และภาพลักษณ์ทางสังคม ของสัญลักษณ์ ดาวสามแฉก ที่เด่นเป็นสง่าอยู่บนกระจังหน้า หรือฝากระโปรงของรถยนต์ Mercedes-Benz ลงไปได้ เว้นเสียแต่ว่าอาจจะมีพวกนิสัยเสียบางคนที่ขับรถแย่ๆ จนทำให้ชาวบ้านชาวเมืองก่นด่าตามหลัง มองคนขับเบนซ์เป็นพวกคนรวยนิสัยเสียไปอย่างช่วยไม่ได้

เมื่อเป็เช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ ผู้คนจำนวนไม่น้อย ซึ่งใช้รถญี่ปุ่นทั่วๆ ไป แต่อยากจะขยับขึ้นไปขับ Benz บางคนขับ Toyota Camry อยู่ แต่อยากกระโดดขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัย C-Class หรือนั่งเป็นซาโจ้ซัง อยู่เบาะหลังของ E-Class ทว่า Mercedes-Benz ทั้ง 2 รุ่น ที่ว่านั้น มีราคาค่าตัวที่สูงกว่ารถยนต์พิกัด D-Segment จากญี่ปุ่น อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างถูกๆ ก็ปาเข้าไปเกินกว่า 2 ล้านบาทแทบทั้งสิ้น

แล้วมันจะมีตัวเลือกไหนบ้างล่ะ ที่พอจะเอื้อมถึง ?

หากเป็นยุคที่รัฐบาล ฯพณฯ อานันท์ ปัณยารชุณ เพิ่งทะลายกำแพงภาษีรถยนต์นำเข้า เมื่อปี 1992 แน่นอนว่า ทางเลือกในยุคสมัยที่ ธนบุรีประกอบรถยนต์ ยังคงเป็นตัวแทนนำเข้า ผลิต และจำหน่ายรถยนต์ตราดาวอย่างเป็นทางการในบ้านเรา ก็คงเป็นรุ่น 190E รหัสรุ่น W201 ที่ถูกโละสต็อก โกยมากองไว้ที่เมืองไทย จนได้รับความนิยมสูงาก เกิดปรากฎการณ์ ยอดสั่งจองสูงถึง 5,000 คัน ถึงขั้นผู้บริหารของ Daimler Benz AG. ในยุคนั้น ต้องบินมาดูให้เห็นกับตาว่า เกิดอะไรขึ้นกับเมืองไทย “นี่คนไทยบ้า Benz ถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่!?” และนั่นคือจุดที่ทำให้ ประเทศไทย กลายเป็นประเทศแรกๆนอกยุโรป ที่ได้สิทธิ์ เปิดตัว C-Class W202 ก่อนชาวบ้านเขาในปี 1993

หรือถ้าเป็นช่วงปลายยุค 90s ต้นยุค 2000 หวยคงไปออกที่ Mercedes-Benz A-Class ตัวถัง Hatchback 5 ประตู ทรงสูง ซึ่งอาจจะดูไม่หรูหราพอ สำหรับการเป็นรถยนต์ของผู้ใหญ่ หรือรถที่เอาไว้แสดงฐานะทางสังคม แม้ในช่วงปี 2014 Mercedes-Benz ประเทศไทย จะสั่งนำเข้า CLA Sedan 4 ประตู Frameess Door ท้ายลาด หลังคาเตี้ย ลงสู่ตลาดในบ้านเรา มาดหรูขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ยังมีบุคลิกสปอร์ต เอาใจวัยรุ่นมากเกินไปหน่อยอยู่ดี

ในที่สุด เราต้องรอจนถึงปี 2018 – 2019 กว่าที่ Mercedes-Benz จะตัดสินใจทำรถยนต์ Sedan 4 ประตู ทรง 3 กล่อง แบบมาตรฐาน รุ่นเล็กสุด ราคาถูกที่สุด เข้าถึงได้ง่ายสุด ออกมาเสิร์ฟความต้องการของลูกค้าชาวโลก และคนไทยที่อยากเป็นเจ้าของรถยนต์ตราดาว กันเสียที นั่นคือที่มาของ “Mercedes-Benz A-Class Sedan” ที่คุณเห็นอยู่นี้ นั่นเอง!

ถึงแม้ตัวรถจะดูเหมาะกับคนรุ่นใหม่ มากกว่าจะเป็น Benz คันแรก สำหรับกลุ่มลูกค้าวัยเพิ่งเกษียณ แต่การเข้ามาทำตลาดของน้องนุชสุดท้อง ในตระกูล Sedan ในครั้งนี้ จะมีจุดเด่น จุดด้อย อย่างไรบ้าง ? มีดีพอที่จะเป็น Your First Mercedes-Benz หรือ Benz คันแรกของคนที่อยากขยับขึ้นไปเล่นรถยุโรปหรือไม่ ?  ลองอ่านดูครับ

แต่…ตามธรรมเนียมของบทความรีวิวจาก Headlightmag ผมคงต้องท้าวความถึงจุดเริ่มต้นของ A-Class Sedan กันเสียก่อน เป็นออร์เดิร์ฟ

การถือกำเนิดเกิดขึ้นของ Mercedes-Benz A-Class Sedan รุ่นปัจจุบัน รหัสตัวถัง V177 เป็นส่วนหนึ่งของแผนการเพิ่มจำนวนสมาชิกในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็ก (Compact Car) ของค่ายดาวสามแฉก ที่สร้างขึ้นบน Platform ใหม่ล่าสุดสำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการนำไปใช้กับรถยนต์แต่ละรุ่นที่มีความยาว ระยะฐานล้อ และความกว้างช่วงล้อ ที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังเพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้างให้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีน้ำหนักที่เบาลง ที่มีชื่อว่า MFA2 หรือ Modular Front-wheel Architecture Platform เจเนอเรชันที่ 2 นั่นเอง

รถยนต์รุ่นแรกที่ใช้ Platform ใหม่นี้เป็นรุ่นแรกก็คือ GLB ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่ แตกไลน์ออกมาขั้นกลางระหว่าง GLA ใหม่ และ GLC เพื่อสนองความต้องการของลูกค้า ที่มีงบไม่สูงนัก แต่อยากมี SUV ใต้ท้องสูงพอประมาณ พื้นที่ใช้สอยเยอะ แปะตราดาว ไว้ใช้งานในชีวิตประจำวัน (รายละเอียด อ่านได้ Click Here) และอีก 2 รุ่นต่อมา ก็คือ Mercedes-Benz A-Class รุ่นปกติ และ รุ่นฐานยาวพิเศษ (Exclusive เฉพาะตลาดจีนเท่านั้น) ซึ่งแตกหน่อออกมาจาก A-Class รุ่นดั้งเดิม มาดวัยรุ่นจ๋า ที่ออกสู่ตลาดมาตั้งแต่ปี 1997 มีเพียงตัวถังแบบเดียวคือ Hatchback 5 ประตู

เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจขยายกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็กให้โตขึ้น จากเดิมที่มีเพียง 5 รุ่น ได้แก่ A-Class / CLA-Class / CLA Shooting Break / GLA-Class และ B-Class เป็น 8 รุ่น เนื่องจากรถยนต์กลุ่มนี้มีสัดส่วนยอดขายสูงถึง 40% ของรถยนต์ Mercedes-Benz ทั้งหมด จึงเหมาะสำหรับการแตกไลน์การผลิต เพื่อเพิ่มทางเลือก หรือรูปแบบของรถยนต์ ให้ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าได้หลากหลายมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการร่นระยะเวลาถึงจุดคุ้มทุนในการพัฒนา Platform ที่นำมาใช้ให้เร็วขึ้นด้วย

นอกจากนี้ แนวคิดของ Mercedes-Benz ที่พยายามจะดันตำแหน่งทางการตลาดของขุนศึกรุ่นเล็ก ตัวถัง 4 ประตู ท้ายลาดสไตล์ Coupe อย่าง CLA รุ่นปัจจุบัน รหัสตัวถัง C118 ที่เคยเป็นเจ้าของตำแหน่งรถยนต์ Sedan 4 ประตู ระดับ Entry Level ที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงง่ายที่สุด ให้ดูพรีเมียมกว่าที่เคย ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ A-Class Sedan รุ่นปัจจุบัน ต้องรับตำแหน่งดังกล่าวไปแทนโดยปริยาย

งานดีไซน์ของ A-Class เป็นผลงานจากทีมงานนักออกแบบ ซึ่งนำโดย Mr.Gorden Wagener ผู้เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงงานดีไซน์ของรถยนต์ Mercedes-Benz ตั้งแต่ปี 1997 เคยดูแลรับผิดชอบงานออกแบบทั้งภายนอก และภายในห้องโดยสาร ของ R-Class, ML-Class และ GL-Class ในปี 1999 ก่อนจะดูแลงานออกแบบของทั้ง A-Class, B-Class, C-Class, E-Class, CLK-Class หรือแม้กระทั่ง CLS-Class ในปี 2002 จนในที่สุดก็กลายมารับตำแหน่ง Chief Designer ผู้กุมบังเหียนด้านงานออกแบบของ Daimler AG และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมกำหนดปรัชญา “Sensual Purity” ที่ถูกนำมาใช้ในรถยนต์ Mercedes แทบทุกรุ่น (ยกเว้น G-Class ซึ่งเป็น iconic car มีความเป็นตัวเองสูง) มีการพัฒนาต่อยอด และตกทอดมาจนถึง A-Class และ A-Class Sedan รุ่นปัจจุบันด้วยเช่นกัน

Gorden Wagener  กล่าวว่า “ผมเชื่อว่า A-Class เป็นรถยนต์รุ่นหนึ่งที่สำคัญมากต่อบริษัทฯ และมันจะเป็นรถยนต์ที่แสดงถึงการเปลี่ยนด้านดีไซน์การออกแบบ สไตล์หรูหราแบบอนุรักษ์นิยม ให้กลายเป็นความความหรูหรา ที่แฝงไปด้วยความทันยุค ทันสมัย มากขึ้น”

ส่วนการออกแบบภายในห้องโดยสารนั้น ดูแลรับผิดชอบโดย Mr. Perter Balko (Manager Creative Interior Mercedes-Benz Design) ผู้หลงใหลในงานศิลปะ และดนตรี เขาเล่าว่า “การเป็นนักออกแบบภายใน กับ นักดนตรี มีหลายองค์ประกอบที่คล้ายกัน อาทิ การพยายามสร้างบุคลิกที่โดดเด่น เป็นที่น่าจดจำ” ดังนั้น ในการออกแบบภายในของ A-Class และ A-Class Sedan เขาจึงให้ความสำคัญกับ Value กับ Quality เล่นกับผิวสัมผัสขององค์ประกอบต่างๆ ภายในห้องโดยสาร หรือ touch-optimized interface

หลังจากขั้นตอนสุดท้ายของการพัฒนาและทดสอบเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย ภาพ Teaser แรกของ Mercedes-Benz A-Class Hatchback ถูกปล่อยออกมา เผยให้เห็นดีไซน์ด้านหน้าตรงของรถยนต์รุ่นใหม่ที่ละม้ายคล้ายคลึงกับรุ่นพี่ CLS อย่างชัดเจน ก่อนงานแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลก (World Premiere) จะถูกจัดขึ้นที่กรุง Amsterdam ประเทศเนเธอแลนด์ ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2018

จากนั้น รถยนต์ต้นแบบ Mercedes Concept A Sedan ซึ่งเป็นร่างจำแลงของ Mercedes-Benz A-Class Sedan ถูกนำไปเผยโฉมเป็นครั้งแรก เคียงคู่กับเรือธงรุ่นใหญ่ Mercedes-Benz S-Class รุ่นปรับโฉม Facelift ที่งาน Shanghai Auto Show ในกรุงเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2017 เพื่อแสดงถึงแนวทางการออกแบบ A-Class Sedan ตลอดจนเป็นการหยั่งเชิงกระแสตอบรับจากลูกค้า ที่มีต่อกลยุทธ์การทำตลาดในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็กของ Mercedes-Benz

เวอร์ชันผลิตขายจริงของ Mercedes-Benz A-Class Sedan เริ่มต้นเผยโฉมครั้งแรก ด้วยรุ่นฐานล้อยาว (Z177) ที่สร้างขึ้นสำหรับผลิตและทำตลาดเฉพาะประเทศจีนเท่านั้น เป็นอันดับแรก เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2018 จากนั้น A-Class Sedan รุ่นฐานล้อปกติ ก็เปิดตัวตามมาในภายหลัง เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2018 ซึ่งก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น เพราะนอกจากระยฐานล้อ รวมถึงความยาวของบานประตูคู่หลังที่สั้นลง ดีไซน์รอบคัน แทบไม่ต่างจากรุ่นฐานล้อยาวเวอร์ชันจีนเลยแม้แต่นิดเดียว

ส่วนบ้านเรานั้น Mercedes-Benz (Thailand) ได้จัดงานแถลงข่าวเปิด A-Class Sedan อย่างเป็นทางการ ที่โรงแรม The Okura Prestige Bangkok ย่านปทุมวัน ในช่วงค่ำของวันที่ 22 สิงหาคม 2019 เป็นการนำเข้ามาจำหน่ายทั้งคันแบบ CBU จากโรงงานในประเทศ Mexico มีเพียงรุ่นย่อยเดียวให้เลือก นั่นคือ A 200 AMG Dynamic (AMG Optical) ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร Turbocharger 163 แรงม้า (PS) 250 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7G-DCT ขับเคลื่อนล้อหน้า ราคาจำหน่าย 2,490,000 บาท

หลังจากทำตลาดในบ้านเราไปได้ซักพักหนึ่ง ตามธรรมเนียมของรถยนต์ Mercedes-Benz ในบ้านเราที่ต้องมีรุ่น CKD เข้ามาทำตลาด ทำให้ภาษีถูกลง สามารถทำราคาจำหน่ายให้ถูกตามไปด้วย หรือ สามารถติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มขึ้นจากรุ่น CBU ในราคาใกล้เคียงกัน ซึ่งในกรณีของ A200 Sedan AMG Dynamic ครั้งนี้ เป็นการนำชิ้นส่วนจากโรงงานในประเทศ Mexico เข้ามาประกอบที่โรงงาน Thonburi Automotive Assembly Plant (TAAP) จังหวัดสมุทรปราการ เปิดตัวในประเทศไทยไปสดๆ ร้อนๆ พร้อมกันกับรุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchange ของ GLA (เจเนอเรชันที่ 2) รุ่นประกอบในประเทศ เวอร์ชันไทย ณ โรงแรม Four Season ย่านเจริญกรุง เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2020 ที่ผ่านมา

ความแตกต่างของ Mercedes-Benz A200 Sedan AMG Dynamic รุ่นนำเข้าทั้งคัน (CBU) และ รุ่นประกอบในประเทศ (CKD) มีดังนี้

– เพิ่มระบบกุญแจรีโมท KEYLESS-GO
– เปลี่ยนจากยาง Runflat มาใช้ยางแบบปกติ และติดตั้งชุดปะยางฉุกเฉิน Tirefit มาให้แทน
– เปลี่ยนระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Dual Zone ลดทอนลงมาเป็นแบบ Single Zone
– ตัดช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลังออก
– ตัดระบบไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive High-beam Assist ออก
– ยกเลิกสีตัวถังภายนอก สีขาวเซรามิก Digital White และสีแดง Jupiter Red

ส่งผลให้ราคาจำหน่ายถูกลง 340,000 บาท จาก 2,490,000 บาท เหลือ 2,150,000 บาท

นอกจากนี้ ยังเพิ่มทางเลือกรุ่นเริ่มต้น A200 Sedan Progressive ที่มาพร้อมเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังแบบเดียวกับรุ่น AMG Dynamic ทว่าภายนอก และภายในห้องโดยสาร ถูกตกแต่งแบบธรรมดา เน้นความเรียบหรู และตัดอุปกรณ์บางรายการออกไป อาทิ หน้าจอชุดมาตรวัดแบบ Digital ขนาด 10.25 นิ้ว จนสามารถตั้งราคาจำหน่าย 1,990,000 บาท ครองตำแหน่งรถยนต์ Mercedes-Benz ที่ออกจำหน่ายในบ้านเรา ที่มีราคาค่าตัวต่ำกว่า 2,000,000 บาท แทนที่ A180 Style รุ่นที่แล้ว (W176) ที่เปิดตัวเมื่อปี 2015

มิติตัวถัง / Dimension

Mercedes-Benz A 200 Sedan AMG Dynamic มีมิติตัวถังภายนอก ยาว 4,556 มิลลิเมตร กว้าง 1,796 มิลลิเมตร สูง 1,425 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว (Wheelbase) 2,729 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า (Front Track) 1,567 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหลัง (Rear Track) 1,547 มิลลิเมตร พื้นที่หน้าตัดด้านหน้า (Frontal Area) 2.19 ตารางเมตร ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ Cd อยู่ที่ 0.22

เมื่อเปรียบเทียบกับคู่หูร่วมชายคาตราดาว ที่ใช้ Platform ร่วมกันอย่าง Mercedes-AMG CLA 35 4MATIC ซึ่งมีมิติตัวถังภายนอก ยาว 4,695 มิลลิเมตร กว้าง 1,834 มิลลิเมตร สูง 1,404 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,729 มิลลิเมตร จะพบว่า A 200 Sedan AMG Dynamic สั้นกว่า 139 มิลลิเมตร แคบกว่า 38 มิลลิเมตร แต่เตี้ยกว่า 21 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวเท่ากัน

รูปลักษณ์ภายนอก / Exterior

รูปลักษณ์ภายนอกด้านหน้าของรุ่น AMG Dynamic มาพร้อมกระจังหน้า Diamond Grille พร้อมโลโก้ดาวสามแฉกขนาดใหญ่ แต่ไร้ดาวลอย ชุดไฟหน้าเป็นแบบ LED High-performance ที่โดนถอดระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive High-beam Assist ออกไป เปลือกกันชนหน้านอกจากจะมาพร้อมมาดสปอร์ต ตามสไตล์ AMG Dynamic แล้ว ยังมีช่องรีดอากาศจากด้านหน้าไปยังซุ้มล้อคู่หน้า ซึ่งจะแตกต่างจากรุ่น Progressive ที่เน้นไปทางเรียบหรู นอกจากนี้ ยังเสริมด้วยแถบโครมเมียมบริเวณชายขอบด้านล่างมาให้ด้วย

ด้านข้างตัวรถมีการออกแบบแนวหลังคาให้มีความเป็น 3-box Design มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้บุคลิกด้านข้างของตัวรถนั้น แม้จะยังคงมีความเป็นวัยรุ่นอยู่ แต่เป็นวัยรุ่นที่ผ่านโลกมาประมาณหนึ่งแล้ว กรอบกระจกหน้าต่างตกแต่งด้วยแถบโครมเมียม มือจับเปิดประตูเป็นสีเดียวกับตัวรถ เส้น Shoulder line และเส้น Character line ที่ไม่ได้มีเหลี่ยมสันชัดเจนนัก แต่ก็พอจะช่วยให้ด้านข้างตัวรถมีมิติเมื่อมีแสงจากภายนอกมาตกกระทบ ช่วยเสริมให้มีความพริ้วไหว ไม่หนักแน่นจนเกินไป

บั้นท้ายรถ ติดตั้งชุดไฟท้ายแบบ Full-LED ซึ่งโดดเด่นด้วยไฟหรี่แบบ Y-Shaped แนวนอน ช่วยทำให้รถยนต์ไซส์ Compact อย่าง A-Class Sedan นั้น ดูกว้างและแบนขึ้นมาอีกเล็กน้อย เปลือกกันชนท้ายมาพร้อมแผงไฟทับทิมเรืองแสงสีแดงแนวนอน ชายด้านล้างเป็นพลาสติกสีดำ แบบมีครีบดิฟฟิวเซอร์ในตัว เสริมด้วยแถบโครเมียม พร้อมปลายท่อไอเสียปลอม (ส่วนปลายท่อจริง ให้ก้มดูที่ ใต้เปลือกกันชนหลัง ฝั่งขวา)

ล้ออัลลอยเป็นลายดาว 5 ก้านคู่ สีทูโทน ปัดเงา ขนาด 18 นิ้ว เฉพาะรุ่น AMG Dynamic กึ่งกลางเป็นสัญลักษณ์ดาว 3 แฉก พร้อมลายช่อมะกอก รัดด้วยยาง Continental EcoContact6 ขนาด 225/45 R18 แบบธรรมดา จากเดิมที่รุ่นนำเข้าทั้งคัน (CBU) ใช้ยาง Continental ContiSportContact5 ขนาด 225/45 R18 แบบ Run-flat หรือยาง Hankook Ventus S1 Evo2 ขนาด 225/45 R18 แบบ Run-flat

สัดส่วนของตัวรถโดยรวมทำให้รถยนต์รุ่นนี้ก้าวเข้ามาเป็นน้องเล็กของตระกูล Sedan ค่ายดาวสามแฉก ที่เห็นได้ชัดว่า เป็นการนำเอางานออกแบบที่ดูงามสง่า (Elegance) แต่แฝงความอ่อนเยาว์ เอาใจวัยรุ่น สืบเนื่องจาก Sedan ท้ายลาดรุ่นใหญ่ อย่าง CLS ย่นย่อลงมาอยู่ใน A-Class Sedan ก็พอจะเสริมความชิค ความเฉี่ยว ในแบบที่ลูกค้าทุกวัยน่าจะชื่นชอบได้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ระบบกลอนประตูเป็นรีโมท KEYLESS-GO พร้อมกุญแจ Wave key แบบฝั่งไว้ด้านในตัวรีโมท เมื่อพกกุญแจเดินเข้าใกล้รถ แล้วเอื้อมไปจับมือเปิดประตู ระบบจะปลดล็อกให้อัตโนมัติ และหากต้องการสั่งล็อกประตู ก็สามารถทำได้โดยใช้นิ้วแตะที่ช่องสี่เหลี่ยมด้านข้างมือจับประตูทั้ง 4 บาน หรือจะกดปุ่มล็อก – ปลดล็อก จากกุญแจรีโมทก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีระบบสวิตช์ปลดล็อกฝาท้าย และระบบ Immobilizer ฝังมาให้ด้วยเสร็จสรรพ

ภายในห้องโดยสาร / Interior

การเข้า – ออกจากช่องประตูคู่หน้า อาจต้องใช้ความระมัดระวังสักหน่อย ขอแนะนำว่าควรปรับเบาะนั่งลงไปก่อน อาจจะไม่ต้องปรับลงไปในตำแหน่งต่ำที่สุด แต่ควรกดเบาะลงต่ำเท่าที่จะเหมาะสมกับระดับความสูงของคุณ เพื่อลดโอกาสการเกิดปัญหาศีรษะชนขอบเสากรอบช่องประตูด้านบน และตอนลุกออกจากรถนั้น อาจต้องใช้แรงในการยกร่างของคุณขึ้นมายืนตรง มากสักหน่อย มากพอกันกับรถสปอร์ตขนาดเล็กบางรุ่นเสียด้วยซ้ำ

ถึงกระนั้นก็เถอะ ช่องทางเข้า-ออก ของ A200 ยังกว้าง และมีมุมโค้งเว้าที่ยังพอจะเอื้ออำนวยให้คุณหย่อนก้นลงนั่ง หรือลุกออกมาจากตำแหน่งคนขับ ได้สะดวกกว่า CLA รุ่นเดิม CLA รุ่นล่าสุด ไปจนถึง BMW 220i Gran Coupe อย่างชัดเจน

แผงประตูคู่หน้าเป็นวัสดุบุนุ่มสีดำ ในรุ่น AMG Dynamic จะเป็น trim การตกแต่งสไตล์สปอร์ต ใช้วัสดุอะลูมิเนียมผิวด้าน (Light Longitudinal-grain Aluminum) บริเวณพนักวางแขนบุฟองน้ำ หุ้มด้วยผ้า DYNAMICA microfibre ตัดเย็บด้วยด้ายสีแดง สามารถวางท่อนแขนได้ในระดับพอดี จนถึงข้อศอก

มือจับประตูด้านในเป็นวัสดุชุบโครเมียม แผงประตูส่วนล่างเป็นพลาสติกขึ้นรูป มีช่องเก็บของและช่องวางขวดน้ำดื่มขนาด 7 บาท มาให้ นอกจากนี้ยังติดตั้งไฟสัญลักษณ์สีแดง และไฟส่องสว่างสีเหลืองอำพัน ซึ่งจะติดขึ้นทันทีเมื่อเปิดประตูรถ มาให้ด้วย

เบาะนั่งคู่หน้า ถูกห่อหุ้มด้วยวัสดุหนัง ARTICO สีดำ สลับกับผ้า DYNAMICA Microfibre เดินตะเข็บด้ายสีแดง เบาะนั่งฝั่งคนขับสามารถปรับได้ด้วยไฟฟ้า 10 ทิศทาง พร้อมระบบปรับดันหลัง (Lumbar Support) แบบไฟฟ้า และมีระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่ง 3 ตำแหน่ง ส่วนเบาะนั่งฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า เป็นแบบปรับด้วยมือได้ 8 ทิศทาง ด้วยก้านคันโยก และสวิตช์มือหมุน พนักพิงศีรษะของเบาะนั่งคู่หน้าทั้ง 2 ฝัง สามารถปรับระดับการดันศีรษะได้ตามความต้องการ ด้านหลังพนักพิงหลังเบาะคู่หน้ามีช่องตาข่ายเก็บนิตยสารมาให้

เบาะนั่งมีขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก พนักพิงหลังรองรับแผ่นหลังได้ดีตามสมควร ด้านบนของพนักพิงหลัง รองรับช่วงสะบักหัวไหล่ได้ในระดับหนึ่ง ส่วนเบาะรองนั่ง ทั้ง 2 ฝั่ง สามารถดึงส่วนต่อขยาย เพิ่มความยาวออกมาให้รองรับช่วงต้นขาได้ถึงขาพับเลยทีเดียว ดังนั้น ใครชอบเบาะรองนั่ง สั้นหรือยาว ก็สามารถเลือกปรับระยะได้เองตามใจชอบ

ปีกด้านข้างของพนักพิง และปีกข้างของเบาะรองนั่ง มีความสูงพอประมาณ แต่ไม่ถึงกับโอบกระชับลำตัว การปรับท่านั่งให้เหมาะสมกับสรีระคนขับ ทำได้ง่าย พนักพิงศีรษะเป็นแบบปรับระดับสูง – ต่ำ และปรับระดับความดันกบาลได้ ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ Mercedes-Benz ตัดสินใจไม่เอาเบาะนั่งทรง Bucket Seat และพนักพิงศีรษะ Built-in แบบเดียวกันกับ CLA รุ่นที่แล้ว ที่ดันกบาลชิบหายวายป่วง มาติดตั้งให้ใน A200 Sedan รุ่นนี้ ตัวพนักศีรษะเองเสริมฟองน้ำให้แน่นหนาพอสมควร เกือบๆจะแข็งหน่อยๆ

ทว่าตำแหน่งการติดตั้งพวงมาลัยที่เยื้องไปทางซ้ายเพียงนิดเดียว ก็ยังคงเป็นปัญหาสำหรับ Mercedes-Benz หลายๆ รุ่น รวมถึง A-Class Sedan คันนี้ด้วยเช่นกัน ปัญหานี้ทำให้ผมรู้สึกปวดลำตัวฝั่งขวาตั้งแต่ใต้รักแร้ลงมาถึงสะโพก ในขณะนั่งขับขี่ทางไกล เป็นเวลานาน ราวๆ 3 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น

เข็มขัดนิรภัยเบาะคู่หน้า เป็นแบบ ELR 3 จุด ทั้ง 2 ตำแหน่ง พร้อมระบบดึงรั้งกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ (Pretensioner & Load  Limiter) มีระบบเตือนรัดเข็มขัดนิรภัยมาให้ แต่ไม่สามารถปรับระดับสูง – ต่ำ ให้เข้ากับสรีระร่างกายของผู้ขับขี่แต่ละคนได้ ทั้ง 2 ฝั่ง เพราะวิธีคิดของวิศวกร Mercedes-Benz มองว่า ผู้ขับขี่ต่างหากที่จะต้องปรับตำแหน่งของเบาะให้สูง – ต่ำ สมดุล กับตำแหน่งเข็มขัดนิรภัย

ช่องทางเข้า – ออก มีขนาดไม่ใหญ่โตนัก ตามปกติของรถยนต์นั่งขนาดเล็กเช่นนี้ แต่ถึงกระนั้น การลุกเข้า – ออก ภายในห้องโดยสารตอนหลัง ทำให้ง่ายดายกว่า และมีโอกาสเสี่ยงที่ศีรษะจะไปกระแทกเข้ากับขอบช่องประตูด้านบน น้อยกว่า CLA รุ่นเดิม CLA รุ่นปัจจุบัน รวมทั้ง BMW 220i Gran Coupe ใหม่ อยู่พอสมควร

แผงประตูคู่หลังเป็นวัสดุบุนุ่มสีดำ กระจกหน้าต่างไฟฟ้า สามารถกดเลื่อนลงมาจนสุดขอบรางด้านล่างได้ บริเวณพนักวางแขนบุฟองน้ำ หุ้มด้วยผ้า DYNAMICA microfibre ตัดเย็บด้วยด้ายสีแดง มือจับประตูด้านในเป็นวัสดุชุบโครเมียมเช่นเดียวกันกับด้านหน้า แต่ไม่มีการตกแต่งด้วยวัสดุอะลูมิเนียมผิวด้าน (Light Longitudinal-grain Aluminum) มาให้

ด้านหลังช่องเก็บของที่เชื่อมต่อจากคอนโซลกลาง จากเดิมที่เคยเป็นตำแหน่งติดตั้งช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง บัดนี้กลายมาเป็น slot ช่องเก็บของขนาดเล็กแทน แต่ด้านล่างยังมี USB Port type C สำหรับเสียบชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้า 5 โวลต์ แบบพับเก็บได้เมื่อไม่ใช้งาน มาให้เหมือนเดิม

เหนือช่องทางเข้าบานประตูคู่หลังทั้ง 2 ฝั่ง มีมือจับ ศาสดา ยึดเหนี่ยวจิตใจ เมื่อภัย (จากความบ้าระห่ำของคนขับ) กำลังจะมาถึง ติดตั้งมาให้

เบาะนั่งด้านหลังเป็นวัสดุหนัง ARTICO สีดำ สลับกับผ้า DYNAMICA Microfibre เดินตะเข็บด้ายสีแดง เช่นเดียวกับเบาะนั่งคู่หน้า พนักพิงหลังสามารถแยกพับได้ในอัตราส่วน 40 : 20 : 40 เมื่อต้องการบรรทุกสัมภาระที่มีความยาวเกิน 1 เมตร ด้วยคันโยกที่ติดตั้งมาให้เหนือห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง พนักพิงศีรษะแบบปรับระดับสูง – ต่ำได้ ก็ถูกติดตั้งมาให้ครบทั้ง 3 ตำแหน่ง

เบาะรองนั่งเมื่อดูจากสายตาจะพบว่ามันมีความยาวกำลังเหมาะสม จนกระทั่งหย่นก้นลงไปนั่ง จะรู้สึกได้ว่าเบาะรองนั่งส่วนปลายที่ถูกยืดยาวออกมานั้น ค่อนข้างเตี้ยและแบน มุมเงยน้อยมากๆ ซึ่งเป็นผลจากความพยายามในการออกแบบให้พื้นที่เหนือศีรษะยังคงพอมีเหลือ หวังให้ศีรษะของผู้โดยสารด้านหลังไม่ชนกับเพดานหลังคา แต่ผลที่ตามมาก็คือ ผมต้องนั่งชันเข่าอยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีส่วนที่เข้ามารองรับต้นขา ทั้งในขณะนั่งโดยสารใกล้ หรือไกล เลยแม้แต่นิดเดียว

สิ่งที่พอจะทำให้ผมยอมนั่งเบาะหลังของรถคันนี้ จนลืมเบาะรองนั่งอันต่ำเตี้ยเรี่ยดินไปสักพักใหญ่ๆ ก็ถือ พนักพิงหลังที่มีระดับองศาเอนกำลังเหมาะสม ไม่ชันเป็นหน้าผาให้อิดหนาระอาใจ แต่ก็ไม่ลาดสะใจเท่า S-Class (ก็แหงสิ) รองรับแผ่นหลัง ไปจนถึงช่วงหัวไหล่หรือสะบัก ได้ค่อนข้างดี ไม่มีส่วนไหนที่นูนขึ้นมา หรือเว้าหายไป ส่วนพนักศีรษะเอง ก็มาในสไตล์เดียวกับเบาะคู่หน้า คือเสริมด้วยฟองน้ำแบบแน่นหนา เกือบแข็ง อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม

ที่สำคัญ เมื่อปรับเบาะนั่งคู่หน้าให้อยู่ในตำแหน่งที่ผมนั่งขับ ซึ่งใกล้เคียงกับท่านั่งของพี่ J!MMY ทว่าอาจมีความสูงต่างกันนิดหน่อย จะมีพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารเบาะนั่งเหลืออยู่ราวๆ 10 เซนติเมตร เลยทีเดียว มากกว่า A-Class และ CLA รุ่นที่แล้ว รวมถึงคู่แข่งอย่าง BMW 220i Gran Coupé เช่นกัน สำหรับผมถือว่าทำได้ดีกวาที่คิดเอาไว้ในตอนแรกพอสมควร สำหรับ Compact car คันเล็กอย่างนี้

พนักวางแขนตรงกลางมีมาให้ ระดับความสูงของการติดตั้งกำลังพอดี ไม่สูงและไม่เตี้ยจนเกินไป เมื่อกดส่วนปลายออกมาจะพบกับช่องวางแก้วแบบพับได้ 2 ตำแหน่ง

เข็มขัดนิรภัยเบาะนั่งด้านหลัง เป็นแบบ ELR 3 จุด ทั้ง 3 ตำแหน่ง พร้อมติดตั้งจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก   ISOFIX มาให้ครบทั้ง 2 ฝั่ง ซ้าย – ขวา

ฝาท้ายเป็นแบบธรรมดา ใช้สวิตช์เปิด – ปิดด้วยไฟฟ้า จากทั้งบริเวณรีโมทกุญแจ สวิตช์บริเวณเหนือช่องติดป้ายทะเบียนหลัง และสวิตช์ไฟฟ้า บริเวณแผงประตูฝั่งคนขับ ใกล้กับมือจับประตูด้านใน แต่ไม่มีระบบปิดฝาท้ายด้วยไฟฟ้า รวมทั้งระบบเตะเปิด Kick Sensor มาให้แต่อย่างใด

กระนั้น สปริงที่ติดตั้งมาให้บริเวณขายึดฝาท้ายเข้ากับตัวถัง ก็พอจะช่วยให้ฝาท้ายลอยตัวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดอย่างนุ่มนวล ทันทีที่กดสวิตช์ปลดล็อก ปัญหาฝากระโปรงหลังดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เสี่ยงเสยปลายคาง ที่พบใน Mercedes-Benz รุ่นก่อนๆ ได้รับการแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

พื้นที่ของห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ความจุ 420 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมนี น้อยกว่า CLA ที่มีความจุ 460 ลิตร จากบั้นท้ายที่ยาวกว่า ด้านบนมีไฟส่องสว่างมาให้ ใต้แผ่นปิดพื้นห้องเก็บสัมภาระ เป็นที่อยู่ของช่องซ่อมยางฉุกเฉิน ซึ่งก็พอที่จะช่วยให้รถวิ่งต่อไปได้ ในกรณีที่ยางเกิดความเสียหายไม่มาก หากยางเสียกายหนัก คงต้องเรียกใช้บริการรถยนต์สไลด์ เพื่อพาคุณไปยังศูนย์บริการ หรือร้านยางในระแวกใกล้เคียง อยู่ดี

แผงหน้าปัด มองจากดาวอังคาร ก็รู้ทันทีว่าเป็น Mercedes-Benz ! ทั้งชุดมาตรวัดแบบดิจิตอล ขนาด 10.25 นิ้ว หน้าจอแสดงผลตรงกลาง ขนาด 10.25 นิ้ว ซึ่งถูกรวมเป็นชุดเดียวกัน ราวกับเป็น iPhone 20 ในโลกอนาคต รวมไปถึงช่องแอร์วงกลมแบบ Jet Turbine 5 ช่อง และแผงสวิตช์ควบคุมแบบ Piano Touch ซึ่งเป็นธีมการออกแบบภายในห้องโดยสารของ Mercedes-Benz หลายรุ่น ก็มาโผล่ใน A200 Sedan คันนี้ด้วยเช่นกัน

จุดเด่นของแผงหน้าปัดของ A200 Sedan คือ มันมีความ simplify แม้จะหาปุ่มกดที่ต้องการยากไปสักหน่อยในการใช้งานครั้งแรก แต่เมื่อหาเจอ หรือคุ้นชินกับมันแล้ว การใช้งานก็ถือว่า easy to operate กว่าแผงหน้าปัดของ Mercedes-Benz รุ่นอื่นๆ

นอกเหนือจากดีไซน์การออกแบบ และการจัดวางตำแหน่งของอุปกรณ์ต่างๆ แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นไฮไลท์ของ Mercedes-Benz คันนี้ก็คือ การเลือกใช้วัสดุตกแต่งภายในห้องโดยสาร อาทิ ช่องแอร์ทั้ง 5 ตำแหน่ง และวัสดุบนแผงหน้าปัด แบบสีเงินด้าน Hairline Aluminum ซึ่งช่วยให้การสะท้อนแสงของไฟบรรยากาศภายในห้องโดยสารของรถคันนี้ ที่มีให้เลือกมากมายถึง 64 เฉดสี มีความอลังการดาวล้านดวง ในแบบที่สาวกดาวสามแฉกที่นิยมความหรูหรา ไฮโซ น่าจะชื่นชอบ และที่สำคัญไม่สว่างจะสะท้อนเข้าตา รบกวนการมองเห็นทัศนวิสัยในยามค่ำคืนด้วย

เมื่อมองขึ้นไปด้านบน จะพบกับไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร และไฟอ่านแผนที่ (ซ่อนอยู่ใต้กระจกมองหลัง) แบบ LED สีเหลืองอำพัน พร้อมช่องเก็บแว่นตา อีกทั้งยังมีสวิตช์ SOS ขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ติดตั้งมาให้ด้วย ด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง ติดตั้งม่านบังแดด พร้อมกระจกแต่งหน้าแบบมีฝาเปิด – ปิด และไฟส่องสว่างมาให้

จากฝั่งขวา มาทางฝั่งซ้าย

บานประตูฝั่งคนขับ มีสวิตช์ปรับเบาะนั่งฝั่งคนขับ พร้อมหน่วยความจำเบาะนั่งฝั่งคนขับ และกระจกมองข้าง 3 ตำแหน่ง เหนือมือจับดึงเปิดประตูจากด้านในเป็นสวิตช์ล็อก – ปลดล็อก ถัดลงมาด้านล่างเป็นสวิตช์ควบคุมการเลื่อนขึ้น – ลง ของกระจกหน้าต่างทั้ง 4 บาน แบบ One-touch พร้อมสวิตช์ปรับมุมมองกระจกมองข้าง พร้อมสวิตช์พับกระจกมองข้าง สามารถตั้งโปรแกรมให้กระจกมองข้างพับอัตโนมัติเมื่อล็อกรถ หรือจะใช้วิธีกดพับเองก็ได้เช่นกัน ถัดลงมาจากพนักวางแขน เป็นสวิตช์ปลดล็อกฝากระโปรงท้าย

ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวาคนขับ เป็นที่อยู่ของเบรกมือไฟฟ้า แต่ไม่มีฟังก์ชัน Auto Brake Hold สวิตช์หมุนควบคุมการทำงานของชุดไฟหน้า ปุ่มเปิด – ปิดการทำงานของไฟตัดหมอกหลัง และสวิตช์ปรับระดับความสว่างหน้าจอชุดมาตรวัด

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน ปรับระดับได้ 4 ทิศทาง ทั้ง เข้า – ออก และ สูง – ต่ำ Telescopic ด้วยก้านคันโยกด้านล่างคอพวงมาลัย วงพวงมาลัยมีขนาดอวบอูมกำลังเหมาะสม จับกระชับมือ ด้านนอกหุ้มด้วยหนังสีดำ ฉลุลายจุด ตัดเย็บเข้ารูปด้วยด้ายสีแดง ก้านพวงมาลัยตกแต่งด้วยโครเมียม สวิตช์บนก้านพวงมาลัยฝั่งขวา สำหรับปรับเปลี่ยนการแสดงผลหน้าจอชุดมาตรวัด และควบคุมการทำงานของระบบควบคุมความเร็วแปรผัน Cruise Control แบบธรรมดา ส่วนฝั่งซ้าย สำหรับควบคุมหน้าจอแสดงผลตรงกลาง ชุดเครื่องเสียง และการรับสาย – วางสาย โทรศัพท์

ก้านควบคุมที่คอพวงมาลัยฝั่งซ้าย สำหรับควบคุมการทำงานของไฟเลี้ยว ควบคุมก้านปัดน้ำฝนที่กระจกบังลมหน้า พร้อมระบบฉีดน้ำล้างทำความสะอาด ส่วนก้านควบคุมที่คอพวงมาลัยฝั่งขวา เป็นคันเกียร์ไฟฟ้าที่ Mercedes-Benz ใช้ในรถทุกรุ่น

ด้านหลังพวงมาลัย มีก้านเปลี่ยนเกียร์ Steering Shift Paddle ติดตั้งมาให้ โดยก้านเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้น (+) จะอยู่ฝั่งขวา ส่วนก้านลดเกียร์ลง (-) จะอยู่ฝั่งซ้าย เมื่ออยู่ในโหมด M ระบบจะไม่ตัดการทำงานเข้าเกียร์ D ให้ จนกว่าจะกดก้าน Paddle Shift ฝั่งใดฝั่งหนึ่งค้างไว้

Previous Post

N0605004_ผู้ชายกลับถึงบ้านหลังเลิกงาน แต่พบว่าเขาตกใจเมื่อเห็นภรรยาสลบอยู่บนพื้น_part2

Next Post

N0605006_นางคิดจะแย่งชิงตำแหน่งภรรยาคนแรก_part2

Next Post
N0605006_นางคิดจะแย่งชิงตำแหน่งภรรยาคนแรก_part2

N0605006_นางคิดจะแย่งชิงตำแหน่งภรรยาคนแรก_part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N1606002_ภาพยนตร์โรแมนติกละครไทยที่ดีที่สุด 2024_part2
  • N1606004_เพราะเมียน้อยของเขา สามีจึงปฏิบัติต่อภรรยาอย่างเลวร้าย_part2
  • N1606005_หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจเมื่อสามีของเธอมีชู้_part2
  • N1606006_สามีขี้โกงลับหลังภรรยา บริษัทจะเป็นของใคร?_part2
  • N1606008_เด็กสาวช่วยชีวิตหลานชายของ CEO โดยไม่ได้ตั้งใจ_part2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.