Commander CHENG: เรามีธุระอะไรกับเจ้ากระป๋องตัวเจ็บนี่หรือ?

J!MMY : สมัยก่อนจริงๆ แล้ว ถ้าย้อนไปในอดีตกาล เรามีรถเล็กๆต่ำกว่า 1.0 ลิตรให้เลือกตั้งหลายรุ่น แต่ในยุคท้ายสุดของรถพวกนี้ มันมาจบเอาที่เจ้า Mira เนี่ยแหละ
สำหรับสเป็คบ้านเรานั้นตอนแรกออกมาเป็นรถกระบะและทำยอดขายได้ดีพอตัวเพราะราคาเริ่มต้นอยู่ที่แค่ 175,000 บาท (1 ใน 3 ของรถ C-Segment ส่วนใหญ่ในขณะนั้น) เครื่องยนต์กระจิ๋วบล็อค ED-10 ความจุแค่ 847 ซี.ซี. มีม้าให้ใช้แค่ 43 ตัวเท่านั้นเอง แต่ใช้งานในเมืองก็คล่องตัวด้วยความยาวตัวถังแค่ 3 เมตรกับอีก 1 ฟุตเท่านั้น แต่ถ้าขายกันแต่โฉมกระบะ ตลาดมันอาจจะแคบไปหน่อย ในภายหลัง ทางพระนครมอเตอร์เลยให้แครี่บอยทำหลังคาไฟเบอร์ติดตั้งในส่วนท้าย ทำให้ทรงดูกลายเป็นรถแฮทช์แบ็คไป โดยมีหลังคาให้เลือก 3 แบบคือ 1. แบบที่ฝาท้ายแยกชิ้น เปิดได้ 2 ส่วน 2. แบบที่เป็นเป็นโครงสร้างหลังคาไฟเบอร์พร้อมบานฝาท้ายเปิดเป็นชิ้นเดียว ส่วนแบบที่ 3 นั้นจะมีกระจกหลังออกแบบให้ดูดีขึ้น ซึ่งเป็นผลงานของ Toyo Fiber และเป็นฝาท้ายปิดเปิดด้วยระบบล็อคสองชั้น กระจกดีไซน์ใหม่ทำจากสวิส ยัง..ยังไม่จบ ต่อจากนั้นก็มีรุ่น Mira New Kids in Town กันชนสีเดียวกับตัวรถ ฝาครอบล้อใหม่ มีเครื่องกรองไอเสีย (ตัวนี้มาจำหน่ายกันช่วงปี 94-95) แล้วก็ยังมีรุ่น Mira Porter ซึ่งเป็นรุ่นที่มีหลังคาไฟเบอร์ แต่ไม่มีเบาะหลัง
ในช่วงท้ายของการตลาดมีรุ่น Mira Mint ราคา 245,000 บาท ซึ่งมีความแตกต่างจากรุ่นอื่นตรงที่มีลักษณะตัวถังเป็นรถสามประตูจากโรงงานเลย ชิ้นส่วนตัวถังหลังคากับเสากรอบต่างๆออกแบบให้เป็นชิ้นเดียวกันต่อเนื่อง เครื่องยนต์เปลี่ยนระบบจ่ายเชื้อเพลิงมาเป็นแบบหัวฉีด แต่แรงม้าเพิ่มขึ้นแค่ 2 ตัวเท่านั้น ส่วนภายในนั้นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือชุดแผงหน้าปัด เอาของ Mira เวอร์ชั่นญี่ปุ่นปี 90 มาใส่ลงไป ถือว่าเป็นรถยนต์ขนาดเล็กน้ำหนักต่ำกว่า 700 ก.ก. รุ่นสุดท้ายที่ประกอบในประเทศ
Mira เคยสร้างเรื่องติดตัวไว้กรณีหนึ่ง เป็นเรื่องของการเลี่ยงสรรพสามิต เพราะพื้นฐานเดิมถือว่าเป็นรถมีกระบะหลัง ซึ่งทำให้ได้รับภาษีในอัตราที่ถูกกว่า การที่นำมาดัดแปลงเป็นแฮทช์แบ็คต่อในภายหลังนั้นทำให้รูปแบบของรถเทียบได้กับซิตี้คาร์ 4 ที่นั่ง มันเลยกลายเป็นข่าวอยู่พักใหญ่ เพราะมีการไล่เบี้ยจากหน่วยงานรัฐเกิดขึ้น
Commander CHENG : ไม่ยักกะรู้ว่ามันมีรุ่นยิบย่อยเยอะขนาดนี้ เผอิญผมลงไปนั่งไม่ได้เลยไม่ค่อยได้ติดตามมันเท่าไหร่ แต่จริงๆแล้วอยากจะเรียกว่า เป็น The Last K-Car in Thailand มากเลยนะ แต่ที่ทำไม่ได้เพราะเครื่องยนต์ใหญ่เกิน 660 ซี.ซี.
J!MMY : เฮ้ย! อย่าเพิ่งลืมดิว่า เรายังมี Subaru R1 และ R2 ขายกันอยู่ตอนนี้ คันละ 1.5 ล้านบาท โดยประมาณ!
Commander CHENG : เออจริงว่ะ..งั้นเรียกว่าเป็น The Last CKD K-Car in Thailand ได้ไหม?
JIMMY : ก็ไม่ได้อยู่ดี เพราะเครื่องมันเกิน 660 ซี.ซี.
Commander CHENG : งั้นช่างมันเถอะค่ะ
———————————————————————————-
Ferrari F355: ม้าป่าปลุกวงการซูเปอร์คาร์ไฮโซ ขับง่าย แรงขึ้นอีกโข
J!MMY: มันสำคัญกับประวัติศาสตร์รถไทยตรงไหนฮึ? แต่เท่าที่รู้ ไอ้เจ้านี่เป็น Poor Man’s Ferrrari คันแรกที่ทำให้คนทั่วไปเริ่มรู้สึกว่า Ferrari ง่ายต่อการเอื้อมถึง เพื่อนของข้าพเจ้า ก็มีอยู่คันนึง สีเหลือง จำได้เลยว่า วิทยุติดรถ เป็น ฟอนท์ Alpine แบบเดียวกับใน Honda Accord ยุคเดียวกันเลยนั่นแหละ !! แต่ที่แน่ๆ คุณสมบัติของตัวรถมันก็ดีกว่า 348TB/TS ขึ้นมาก รถรุ่นนี้เคยได้ออกโลดแล่นในแผ่นฟิล์มด้วย ถ้าจำไม่ผิดเป็น James Bond ตอน Goldeneye เป็นรถคันเก่งของยัยชะนีตัวร้ายใช่ไหม?

Commander CHENG: มีคนจนซื้อ Ferrari ได้ด้วยหรือ? ลองคิดย้อนไปถึงยุคนั้นก่อนสิ ปี 94 Ferrari มีรถขายแค่ 348 ราคา 6-7 ล้านบาท ซึ่งถามว่าแรงไหม ก็แรงแต่ไม่ใช่รถที่ไวขนาดนั้นและแน่นอนไม่ใช่ Ferrari ที่คนอยากเอาไปขับทุกวันหรอก ส่วน 512TR 12 สูบนั้นราคา 14 ล้าน แพงมากในสมัยนั้น ซูเปอร์คาร์ก็เลยยังเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ แต่จู่ๆ F355 ก็มาถึง และมันนี่ล่ะเป็นตัวสำคัญในการขยาย community ของม้าป่าผยองในประเทศไทย
ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 9.5 ล้านบาทสำหรับรุ่น Berlinetta หลังคาแข็ง และ 9.8 ล้านบาทสำหรับรุ่น GTS ที่เป็นหลังคา T-Bar ช่วงกลางยกเปิดได้ทั้งชิ้นนั้น สิ่งที่คุณได้ ก็คือพลังเครื่อง V8 5วาล์วต่อสูบที่มีแรงม้าสูงถึง 380 แรงม้า ด้วยความจุแค่ 3.5 ลิตร ถ้าลองหารกันดู จะได้อัตราส่วนระดับ 108.5 แรงม้าต่อลิตร สูงที่สุดสำหรับรถที่มีขายในไทยในขณะนั้น เคยฟังเสียงรถพวกนี้เวลามันอัดเต็มๆผ่านเราไปไหม? F355 มี By-Pass valve ในท่อไอเสีย ซึ่งถ้าในยามปกติ มันก็จะเป็นท่อไอเสียเก็บเสียงแบบรถทั่วไป แต่ถ้าเล่นบทโหดกันเมื่อไหร่ ไอ้วาล์วที่ว่านี่จะเปิดต่อให้ไอเสียออกได้แบบตรงๆ เสียงดังล่อตำรวจมากขึ้น ผมเคยขับรุ่นนี้ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีใบขับขี่ มันเป็นเรื่องที่ผมจะจำไม่มีลืม พูดง่ายๆว่า เฉี่ยว เร็ว แรง แค่เหยียบคันเร่งให้รอบตวัดผ่าน 8,000 ไป เสียงที่ได้นั้นน่าจะเอาไปสอน Fairlady Z ได้ในคลาสเรียนเรื่อง “การทำเสียงเครื่องให้สะเด่าทรวง” ทั้งหมดนี้ประกอบกับค่าตัวสมเหตุผลสำหรับการแลกมาซึ่งซูเปอร์คาร์สักคันที่ได้หน้าตาทางสังคมสูงไร้เทียมทาน เศรษฐีเงินหมุนบางท่านเลยกล้าจะควักกระเป๋าแลกมากขึ้น ในช่วงก่อนเปลี่ยนศตวรรษ ถ้าคุณเจอ Ferrari บนถนนเมืองไทย นับไปเลย 7 ใน 10 จะเป็น F355 แม้ว่าทุกวันนี้จะหายๆกันไปบ้างแล้วก็ตาม
J!MMY: ผู้การเอ๋ย เสริมนิดเดียวนะ ไม่ต้องรวย ก็ซื้อ Ferrari มาเล่นได้…แค่เดินไปแผนกของเล่นห้างเซ็นทรัลได้ ทุกสาขา (ช่วงนี้ ขอยกเว้น สาขา เซ็นทรัลเวิลด์ เพราะยังคงปิดไม่มีกำหนดเปิด)
———————————————————————————-
Honda Accord ตาเพชร: หมัดปฐมฤกษ์แห่งศักยภาพในการออกแบบรถ D-Segment จาก Honda
J!MMY : เจ้าตาเพชรนี้เป็นครั้งแรกที่ Honda ตั้งใจทำ Accord ออกมาได้ดีมากจนกระทั่ง Toyota เริ่มเล็งเห็นแล้วว่าขืนขายแต่ Corona / Carina E ทั่วโลกกันต่อไปอาจมีสิทธิ์หนาวตายได้ ดังนั้นจึงสังเกตได้เลยว่าเมื่อตลาดรถนำเข้าเปิดเสรี Toyota ก็ต้องเอา Camry เข้ามาเสริมทัพในทันที
ในสมัยนั้นคู่แข่งของ Accord นอกจาก Corona แล้วก็ยังมี Bluebird ATTESA, Cefiro, Peugeot 405 รวมไปถึง Galant และ Mazda 626 ด้วย ดีไซน์ภายนอกและภายในของรถถือว่า สวยจบเป็นอันดับต้นๆ ในยุคของมัน นอกจากนี้ Honda มีการจัดแบ่งรุ่นย่อยไว้กอบโกยทุกตลาด ในช่วงแรกมีรุ่นหัวฉีดเกียร์ธรรมดา LXi แล้วก็รุ่นคาร์บูเรเตอร์ทั้งเกียร์ธรรมดา LX และอัตโนมัติ EX ในเวลาต่อมาจึงออกรุ่น Exi ที่เป็นเครื่องหัวฉีดเกียร์อัตโนมัติมาให้เลือกด้วย นับได้ว่าเป็นรถที่ยกระดับ Accord ให้มีลูกค้าและฐานยอดขายกว้างขึ้น เยอะขึ้น ทั้งในเมืองไทย สหรัฐอเมริกา (ตลาดหลักของเขาเลย) และทั่วโลก อีกทั้งทำให้ประสิทธิภาพทางวิศวกรรมของ Honda เริ่มเป็นที่ยอมรับในบรรดาลูกค้าตลาด Mass มากขึ้น

Commander CHENG : สงสัยเหมือนกันว่าถ้าไฟหน้ามันไม่ใช่ตาเพชรเราจะเรียกรถรุ่นนี้ว่าอะไรดี? แต่ Honda คิดถูกที่ใช้ดีไซน์หน้าลิ่มแบบนี้ การออกแบบคอนโซลที่เรียบร้อยลงตัว (เอาภาพคอนโซลมาเทียบกับ Corona ในยุคเดียวกันก็ได้) และทัศนวิสัยด้านหน้าโปร่งสบายตา การจัดพื้นที่ภายในก็ไม่เลวเลยสำหรับรถขนาดตัวเท่านั้น ผมเคยนั่งหลังโดยสารมันทางไกลมาแล้ว และจะบอกให้นะว่า ผมชอบการเซ็ตช่วงล่างของรถรุ่นนี้มากกว่า Honda เก๋งรุ่นใหม่ๆหลายๆคันที่ไม่รู้จะเด้งไปหาลูกชิ้นปลานายใบ้อะไรกันขนาดนั้น Honda ใช้จุดขายเรื่องช่วงล่างอิสระแบบดับเบิลวิชโบน “เทคโนโลยีจาก F1” มาเน้นย้ำในเรื่องสมรรถณะการขับขี่ ซึ่งในชีวิตจริงก็คงจะมีแต่พวกรถยุโรป และ Mazda 626 TTL ที่ได้ชื่อว่ามี Handling ดีกว่า แต่ด้วยอานิสงส์จากความเป็น Honda ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นรถญี่ปุ่นของคนรวย (เพราะอะไหล่แพงฉิบ) เครื่องยนต์และเกียร์ที่ขับสนุกเมื่อเทียบกับรถพิักัดใกล้เคียงกัน เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน มันก็เป็นส่วนผสมอย่างเหมาะเจาะที่ทำให้กลายเป็นรถยอดนิยมอีกรุ่นหนึ่งไป
———————————————————————————-
Honda Prelude: บทพิสูจน์ว่าตลาดสปอร์ตคูเป้ยังไม่ตาย
J!MMY : ก่อนหน้าปี 1992 นั้นรถคูเป้ทรงเฉี่ยวมีตัวเลือกไม่มากนัก ไม่เหมือนกับช่วงต้นทศวรรษ สมัยนั้น Toyota ก็ไม่มีรถคูเป้ขาย Nissan มี Sentra Coupe กับ NX Coupe ส่วน BMW มี 318i Coupe และนอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอีก จนกระทั่งช่วงปลายปี 92 นั่นเอง Honda มาแบบม้ามืด จู่ๆตัดสินใจนำเอา Prelude ทรงเฉี่ยวที่เพิ่งวางขายในบ้านเกิดตัวเองได้แป๊บเดียวมาลงตลาดในบ้านเรา และนับเป็นคูเป้รุ่นแรกของ Honda ที่นำมาขายโดย Honda ประเทศไทยเอง นับจากวันที่เปิดตัวไม่นาน Prelude สีแดงสด และสีเงินก็ออกวิ่งให้เห็นทั่วกรุงเทพ เป็นที่จับจองหมายปองของคนตั้งแต่ชนชั้นกลางและไม่เว้นแม้แต่ไฮโซ กลายเป็นผู้เล่นตัวสำคัญที่ต่ออายุให้ตลาดรถคูเป้ในไทยยืนยาวต่อมาได้อีกนานหลายปี ถ้าไม่ได้การลดกำแพงภาษีนำเข้าสมัยรัฐบาล คุณอานันท์ ปัณยารชุน ก็ไม่รู้จะได้เห็น พรีลูด ขายกันในราคาล้านกว่าบาทหรือเปล่า

Commander CHENG : ใช่ ถ้าใครอายุประมาณ 30-35 จะจำกันได้ดีว่าเมืองไทยช่วงนั้นมี Prelude วิ่งเยอะขนาดไหน พวกเกรย์มาร์เก็ตก็นำเข้ามาขายแข่งกันอีกต่างหากโดยเอารถสเป็คญี่ปุ่นเข้ามา แต่รถในไทยจะเป็นเครื่องสเป็คออสเตรเลีย รุ่นแรกที่นำเข้ามาเป็นเครื่อง 2.2 ลิตร 130 แรงม้าธรรมดาๆ สงสัย Honda จะกลัวเคี้ยว Celica ได้ไม่สนิทปาก ตอนหลังเลยเอารุ่น Si เครื่อง 2.3 ลิตร 160 แรงม้าเข้ามา
แล้วที่เด็ดสุดคือรุ่น VTi-R DOHC VTEC ม้าเฉียดๆ 200 ตัว ซึ่ง Honda ประเทศไทยก็สั่งเข้ามาขายด้วยแม้ว่าจะเป็นจำนวนน้อยก็ตาม ต้องยอมรับว่าโฉมหน้าของ Honda เปลี่ยนไปมากนับตั้งแต่รัฐบาลประกาศเปิดนำเข้าเสรีด้วยการลดภาษี เราจึงได้เห็นรถนอกที่มีอุปกรณ์ครบครัน กับเครื่อง VTEC ประเภทรอบจัดแรงม้าสูงซึ่งประจำการอยู่ใน Prelude และ Integra ซึ่งเป็นคูเป้ที่ขนาดตัวเล็กกว่า (และไม่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขายเท่า) ดังนั้น สำหรับสิ่งที่รถคูเป้ราคาประมาณล้านนึงจะให้ได้ Prelude ถือว่าเป็นรถที่ตอบโจทย์ได้ครบทั้งรูปทรง ความทันสมัย และสมรรถณะ สมัยนี้ถ้าคุณอยากได้รถคูเป้ 200 ม้า ต้องจ่ายกี่บาท เอาที่มีซันรูฟบานโตเป็นอุปกรณณ์มาตรฐานด้วยนะ?
———————————————————————————-
Honda Civic (EG): เมื่อ Honda ติดไอพ่นปล้นยอดขาย
Commander CHENG : ย้อนกลับไปวันเปิดตัวในเดือน พ.ค. ปี 1992 Honda เปิดตัว Civic รุ่น 4 ประตูบนแท่นสง่างามเพียงเพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่าเบาะยังเป็นหนังเทียมเกรดเดียวกับรถสองแถว และกระจกประตูหลังยังเป็นมือหมุนอยู่ ทั้งๆที่พรรคพวกอย่าง Sentra กับ Corolla ให้ของมาเพียบกว่า แถมยังมีสมรรถณะที่ดีกว่าจากเครื่องหัวฉีด 1.6 ลิตร แต่ Honda เองก็เริ่มขยับตัวสู้ในภายหลังด้วยการนำเครื่องหัวฉีด 120 แรงม้ามาใส่ แล้วพอมีลู่ทางในตลาดรถนำเข้า ก็เปิดตัวรุ่น VTEC 1.6 ลิตร 130 แรงม้าโดยนำเข้ามาขายทั้งคัน (แล้วก็นำเครื่องนี้มาวางในรถประกอบในประเทศหลังจากนั้น) รุ่นนี้มีมูนรูฟด้วยและปัจจุบันหายากมาก เพราะเข้ามาขายอยู่ไม่นานทาง Honda ประเทศไทยก็นำมาประกอบขายเองในภายหลัง พลัง 130 แรงม้าในสมัยนั้นสำหรับ 1.6 ลิตรถือว่าไม่ธรรมดา เพราะเท่าเทียมกับ 4A-GE ใน Corolla GTi ตัวแรงเลยล่ะ

J!MMY: ในช่วงเปิดตัวใหม่ๆนั้น ความที่ราคาไม่ถูก แถมยังขี้เหนียวออพชัน เลยโดนทั้ง Corolla AE-101 และ Lancer E-Car ทุบตีเอาจนสะบักสะบอมไป แต่พอผ่านไปไม่นาน Honda ก็คิดได้ว่าควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อสร้างฐานจำนวนยอดขายขนาดใหญ่ให้ได้เสียที จึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะนำรุ่น 3 ประตูมาประกอบขายในประเทศ แต่เวรกรรมตรงที่ รถมาดดีอย่างนี้ ดันไม่ได้วางเครื่องยนต์เจ๋งๆมาให้เลยตั้งแต่แรก อุปกรณ์ก็น้อย รุ่นเกียร์ธรรมดาไม่มีพวงมาลัยเพาเวอร์ให้ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้มันไม่ธรรมดาคือราคาเปิดตัวที่อยู่แค่ 361,000 บาท บวกกับภาพพจน์ของ Honda ที่สูงในสายตาผู้บริโภค ดังนั้นจึงสร้างสถิติทางด้านยอดขาย เปรี้ยงเดียว 3 วัน 9,000 คัน! เป็นสถิติที่ Honda บ้านเรา ไม่เคยทำได้อีกเลยนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งรถรุ่นนี้ประสบอุบัติเหตุจนหลังคาฉีก แล้วก็มีคนตาไวไปถ่ายภาพวัสดุบุหลังคามาแล้วบอกว่าเหมือน “กระดาษลัง” เลยเล่นเอา Honda ปวดหัวไปพักใหญ่เพราะแท้จริงแล้วมันคือวัสดุที่ออกแบบมาไว้ซับเสียง (แม้จะเป็นชนิดที่ลดต้นทุนหน่อยก็เถอะ) แต่ Honda เองก็อธิบายให้ผู้บริโภคฟัง แบบเสียงไม่ังฟังไม่ชัด หลายคนเลยเบือนหน้าหนีไป เพราะเชื่อว่าเป็นรถที่บอบบางและไม่ปลอดภัย ที่ซวยยิ่งกว่าคือ ทุกวันนี้ ยังมีคนที่จำภาพนั้นได้อยู่ ฝังใจ!
Commander CHENG : แม้จะอายุไม่น้อยแล้ว แต่พวก 3 ประตูเหล่านั้นก็กลายมาเป็นรถที่นิยมนำมาดัดแปลงเพื่อการแข่งขันในปัจจุบัน โลกของมอเตอร์สปอร์ต ไม่ว่าจะเป็นเซอร์กิต หรือจิมคาน่านั้นต้องยกให้เป็นโลกของ 3 ประตู เพราะมันคือรถครูที่สอนนักแข่งมาหลายรุ่นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพี่ Pom Gambino ซึ่งโลกจิมคาน่ารู้จักกันดี หรือเอม อภิชัย พันธุ์คงชื่น พี่อ๊อฟ หทัย ไชยวัณ ล้วนเป็นนักขับที่ใช้ Civic 3 ประตูได้ขั้นเทพ
ส่วนคนที่ไม่ใช่นักแข่ง แต่ใช้ Civic รุ่นนี้ เท่าที่นึกออกก็มีคุณหลิน นุศรา ประวันณา และคุณ ปาน ธนพร
———————————————————————————-
Honda City: ปฐมบทแห่ง B-Segment ที่วางรากฐานให้กับวงการและกับชีวิตของใครหลายคน
J!MMY : รถรุ่นนี้เปิดตัวในเดือนสิงหาคมปี 1996 คุณนัท มีเรีย ร้องเพลงประกอบโฆษณา (“นี่คือบ้านเรา”) เปิดราคาออกมาแล้วถูกไล่เลี่ยกับ Civic 3 ประตูเลยทีเดียว ทำให้ได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นจำนวนมาก ในการที่จะควบคุมราคาของรถไม่ให้เกินเลย Honda เลือกวิธีลดต้นทุนโดยการใช้ชิ้นส่วนร่วมกับ Civic EF รุ่นเดิมเพื่อกดราคาลงหวังจะให้ City เข้ามาสานต่อในฐานะรถยนต์นั่งราคาประหยัด
ขุมพลังที่ Honda เลือกให้กับเจ้าตัวเล็กนี้เป็นเครื่อง 1.3 ลิตร Hyper 16 วาล์ว หัวฉีดPGM-Fi 95 แรงม้า ถือว่าแรงพอตัว และประหยัดน้ำมัน ทั้งหมดนี้ บวกกับความเป็น Honda ซึ่งมีภาพพจน์ที่ดี ทำให้ได้รับความนิยมจากสุภาพสตรีให้มาเป็น First car in life ทางด้านแคมเปญการตลาดอันขึ้นชื่อในสมัยนั้น Honda ทำกุญแจ 3 ดอกแล้วส่งไปให้ลูกค้าตามบ้าน โดยที่มีกุญแจ 1 ดอกในประเทศไทยเท่านั้นที่จะสามารถไขตู้เก็บกุญแจ Honda City ตัวจริงได้ ถ้าใครไขออก ก็จะได้เป็นเจ้าของรถคันนั้น จริงๆแล้วน่าจะดึงกลับมาเล่นอีกครั้งนะมุขนี้ แต่ขอเป็นกุญแจ Honda Legend จะได้ไหม ฮ่าๆ

แล้วพอออกขายได้สัก 5 เดือน ดาวรุ่งพุ่งแรงของเราก็ถูกสกัดโดย Toyota Soluna ส่งผลให้ City กลายเป็นเหมือนลูกเมียน้อยในบัดดล เพราะความเชื่อของคนในยุคนั้นยังยึดติดอยู่กับ ซี.ซี. Toyota มีความจุเครื่อง 1.5 ลิตร ซึ่งดูแล้วน่าจะพึ่งพาได้มากกว่า 1.3 ลิตร ของ Honda ทำให้ลูกค้าเป็นหมื่นแห่กันไปซบ Toyota จนกระทั่งในที่สุด Honda เองก็ไม่อาจนั่งนิ่งดูดายอีกต่อไป จึงต้องเร่งรุ่น 1.5 ออกมาให้ลูกค้าใหม่เชยชม แต่ก็โดนลูกค้าเก่าก่นด่าเอาไว้เละเทะ เช่นกัน ว่าทำไมไม่ทำออกมาให้เร็วกว่านี้ฟะ? จากนั้น ก็มีการเปิดตัวรุ่น VTEC เครื่อง 115 แรงม้า เรียกว่า Type Z เปลี่ยนโฉมด้านหน้าและด้านท้ายใหม่จนดูไฉไลขึ้นเยอะ Honda จัดงานเปิดตัวเมื่อ 31 พ.ค. 1999 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์
จะว่าไปแล้วมันก็เป็น City Type Z เพื่อชะนีออฟฟิศโดยแท้นะ ดึงตัวเอา พิม ซอนญ่า มาเป็น presenter ในวีดีโอเทป ที่ปั้มแจกกระหน่ำไปแทบทุกบ้าน เป็นแสนม้วน (แต่ไม่ฉายขึ้นโฆษณา ในช่องฟรีทีวี) และช่วงนี้ล่ะที่ยอดขายของมันกลับมาแซง Soluna อีกครั้งจนโตโยต้าเครียดจัดซัดน้ำใบบัวบกไปหลายโฮก ก่อนจะแก้มือคืนได้ด้วย Vios
Commander CHENG! : สำหรับ City 1.5 นั้นจำได้ว่า วิลลี่ แม็คอินทอช กับหมิว ลลิตาเป็น Presenter โดยที่โฆษณาชุดนั้นพยายามทำให้ City มีภาพลักษณ์เหมือนเครื่องบินไอพ่นส่วนตัว และที่ตลกที่สุดกับโฆษณาชุดนั้นก็คือ ถ้อยคำบรรยายบอกว่ามี ABS แต่มีอยู่ฉากหนึ่งที่วิลลี่กระทืบเบรค (คิดว่าตามบทแล้วคงกะจะโชว์ว่ามี ABS นะเฟ้ย) แล้วกล้องจับภาพ..ปรากฏว่าล้อล็อคให้เห็นกันจะจะ…เจ๋งอ่ะ เจ๋งจริงๆ ตกลงมันเป็น Anti Lock Braking System หรือ Anti Braking System ฟะ อย่างไรก็ตาม เราต้องยกจอกคำนับให้มันในการที่เป็นผู้เล่นระดับ Sub-compact รายแรกๆที่ทำให้เรามี Vios, City และ Jazz ในประเทศไทยทุกวันนี้
———————————————————————————-
Honda CR-V Gen 1: SUV เอาใจคนเมืองและสาวเฟี้ยว เริ่มที่นี่
Commander CHENG : นี่เลย บ้านผมเคยมีเจ้าตัวนี้ ย้อนกลับไปในสมัยนั้นมันเป็นรถที่ใช้งานได้เอนกประสงค์มาก และราคาในช่วงปี 2000 รู้สึกว่าจะป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆล้านบาทนี่เอง มันไม่ใช่รถที่หนา แน่น หนึบ พวงมาลัยออกจะโหวงแปลกๆ ช่วงล่างก็ยังไม่เข้าขั้น แต่นั่นไม่ได้หยุดยั้งความนิยมในตัวรถรุ่นนี้ลงได้ แม้พวกออฟโรดขาใหญ่จะชอบล้อว่าเพลาหลังของ CR-V อันเท่านิ้วก้อย แต่ในชีวิตจริงที่ไม่ใช่ออฟโรด คันที่ขับคล่องปรื๋อ แถมจ่ายค่าน้ำมันน้อยกว่า พากันไปได้ทั้งครอบครัวนั่นล่ะ เป็นผู้ชนะในเกมสร้างยอดขาย..รถอะไรก็ไม่รู้ น่ารักชะมัด ซื้อรถมีแถมโต๊ะปิกนิกให้ด้วย แนบสนิทเป็นฝาปิดห้องยางอะไหล่เลย บางคนขับตั้งแต่ซื้อรถจนขายรถยังไม่รู้เลยว่ามันมีมาให้

J!MMY : จะบอกให้เลยว่านี่แหละรถที่เริ่มกระแส Soft-Roader SUV ในไทย (ก็ SUV ประเภทเอาไว้ลุยน้ำท่วมหรือลุยแบบเบาๆพอได้) และทำให้ SUV ทรงสูงเป็นของที่ง่ายทั้งในเรื่องการเป็นเจ้าของ และง่ายในการขับขี่ของผู้หญิง ตอบสนอง Lifestyle หลากหลายรูปแบบ จริงอยู่ว่า RAV4 ของ Toyota ก็เข้ามาในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่กาลเวลาก็พิสูจน์แล้วว่าใครสามารถตอบโจทย์ของลูกค้าได้ดีกว่า เริ่มต้นก่อนในปี 1997 ด้วยรุ่นนำเข้าจากญี่ปุ่นที่เป็นล้อน็อตยึด 4 ตัว จากนั้นปี 1999 ก็มีไมเนอร์เชนจ์ จูนเพิ่มแรงม้าจาก 129 แรงม้าเป็น 147 แรงม้า แล้วก็เปลี่ยนน็อตยึดล้อมาเป็นแบบ 5 ตัว และที่สำคัญ ประกอบในประเทศแล้วจ้า! ความนิยมของ CR-V ตั้งแต่รุ่นนั้น คือสิ่งที่เป็นตัวปูพื้นตลาดให้รถรุ่นอื่นๆที่ตามมา…ซึ่งส่วนมาก ก็คือ CR-V รุ่นหลังๆนั่นเองแหละมั้ง รวมถึงไอ้คันที่โดนเจ๊ Fullmoon ทุบออกทีวีเป็นข่าวดังกระฉ่อน เพราะแค่คำว่า “1 ในร้อย” นั่นก็ด้วย