Mercedes-Benz GLA เวอร์ชันไทย (GLA 200 AMG Dynamic) มีมิติตัวถังภายนอก ยาว 4,410 มิลลิเมตร กว้าง 1,834 มิลลิเมตร สูง 1,611 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,729 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า 1,605 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหลัง 1,606 มิลลิเมตร ระยะ Overhang ด้านหน้า 905 มิลลิเมตร และระยะ Overhang ด้านหลัง 776 มิลลิเมตร
เมื่อเปรียบเทียบกับ Mercedes-Benz GLA รุ่นเดิม (X156) ซึ่งมีมิติตัวถังภายนอก ยาว 4,443 มิลลิเมตร กว้าง 1,804 มิลลิเมตร สูง 1,483 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,700 มิลลิเมตร จะพบว่า GLA รุ่นใหม่ สั้นลง 33 มิลลิเมตร ก็จริง แต่กว้างขึ้น 30 มิลลิเมตร สูงขึ้นถึง 128 มิลลิเมตร แถมยังมีระยะฐานล้อยาวขึ้นอีก 29 มิลลิเมตร ด้วยเช่นกัน
หากลองนำไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งสำคัญอย่าง BMW X1 (F48) ซึ่งมีมิติตัวถังภายนอก ยาว 4,447 มิลลิเมตร กว้าง 1,821 มิลลิเมตร สูง 1,598 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,670 มิลลิเมตร จะพบว่า GLA สั้นกว่า 37 มิลลิเมตร แต่กว้างกว่า 13 มิลลิเมตร สูงกว่า 13 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวกว่า X1 อยู่ 59 มิลลิเมตร
เมื่อลองนำไปเทียบกับ Volvo XC40 ซึ่งมีมิติตัวถังภายนอก ยาว 4,425 มิลลิเมตร กว้าง 1,863 มิลลิเมตร สูง 1,652 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,702 มิลลิเมตร ก็จะพบว่า GLA เล็กกว่าทุกมิติ ทั้งความยาวที่น้อยกว่า 15 มิลลิเมตร แคบกว่า 29 มิลลิเมตร แถมยังเตี้ยกว่า 41 มิลลิเมตร แต่กลับมีระยะฐานล้อยาวกว่า XC40 อยู่ 27 มิลลิเมตร
หรือจะลองนำไปเทียบคู่แข่งฝั่งญี่ปุ่นอย่าง Lexus UX ซึ่งมีมิติตัวถังภายนอก ยาว 4,495 มิลลิเมตร กว้าง 1,840 มิลลิเมตร สูง 1,540 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,640 มิลลิเมตร ก็จะพบว่า GLA สั้นกว่า UX ถึง 85 มิลลิเมตร แคบกว่า 6 มิลลิเมตร แต่สูงกว่า 71 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวกว่า 89 มิลลิเมตร
เมื่อดูจากตัวเลขมิติตัวถังภายนอกเทียบกับคู่แข่งหลายรุ่นจะพบว่า GLA ใหม่ มีขนาดใล่เลี่ยกันกับ Premium Compact Crossover รุ่นอื่นๆ ยกเว้นระดับของแนวหลังคาที่สูงอันดับต้นๆ เป็นรองแค่ XC40 ซึ่งมีลักษณะของตัวถังภายนอก เจียนจะเป็น Premium Compact REAL SUV อยู่รอมร่อแล้ว

***** รูปลักษณ์ภายนอก / Exterior *****
ดีไซน์ภายนอกของ GLA 200 AMG Dynamic เป็นการตกแต่งแบบ AMG Bodystyling ด้านหน้าจะมาพร้อมกับกระจังหน้า Dimond Grille พร้อมสัญลักษณ์ดาวจม ซึ่งหลายคนคงจะคุ้นหูคุ้นตากันดีอยู่แล้วในรถยนต์ Mercedes-Benz ยุคใหม่ ด้านข้างขนาบด้วยชุดไฟหน้าแบบ LED High Performance พร้อมฟังก์ชั่นปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist
ดีไซน์ด้านข้างเป็นสิ่งที่มีความเปลี่ยนแปลงจาก GLA รุ่นเดิม อย่างเห็นได้ชัด เริ่มจากการเปลี่ยนงานออกแบบกระจกหน้าต่างมาเป็นแบบ 6-Windows ตลอดจนยกเส้นแนวหลังคา หรือ Roofline ให้สูงขึ้นกว่ารุ่นเดิม ทำให้มีบุคลิกความเป็น Crossover SUV แบบทั่วไปมากขึ้น แทนที่จะเป็นแค่ A-Class Hatchback ยกสูงขึ้นเล็กน้อยแบบรถรุ่นเดิม
บั้นท้ายมาพร้อมกับชุดไฟท้ายแบบ LED ทรง Freeform 2 ชิ้น ที่เริ่มนำมาใช้กับ GLC Facelift ชายล่างตกแต่งด้วยชุดแต่ง AMG พร้อมปลอกท่อไอเสียโครเมียม (ท่อหลอก) เหนือกระจกบังลมหลังเป็นสปอยเลอร์สีเดียวกับรถ พร้อมไฟเบรกด้วยที่ 3 แบบ LED
ล้ออัลลอยของรุ่น AMG Dynamic จะเป็นลาย 5 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว (48.3 เซนติเมตร) รัดด้วยยาง Continental ECO Contact ขนาด 235/50 R19 แบบธรรมดา ไม่ใช่ยาง Run-flat

ส่วนความแตกต่างภายนอกระหว่าง Mercedes-AMG GLA 35 4MATIC และ Mercedes-Benz GLA 200 AMG Dynamic ได้แก่
- กระจังหน้า AMG-Specific Radiator Grille หรือ Panamericana Grille พร้อมสัญลักษณ์ AMG
- สัญลักษณ์ TURBO 4MATIC บริเวณแก้มข้างด้านหน้า
- สัญลักษณ์ AMG ที่ฝากระโปรงท้าย
- สปอยเลอร์หลัง AMG Spoiler Lip
- ท่อไอเสีย AMG Exhaust System พร้อมปลายท่อไอเสียโครเมียมทรงกลม
- ล้ออัลลอย AMG ลาย 5 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว รัดด้วยยาง Michelin Pilot Sport 4S ขนาด 235/50 R19
- กุญแจรีโมทตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ AMG
ดูจากรายการอุปกรณ์ข้างต้นแล้ว บางคนจะเผลอคิดไปว่า การจ่ายเงินเพิ่มตั้งเกือบ 800,000 บาท เพื่อให้ได้มาซึ่งข้าวของกระหยุมกระหยิมแค่นี้ มันช่างดูไร้สาระสิ้นดี… คุณคิดผิดครับ
จุดต่างสำคัญของ AMG GLA 35 ไม่ได้อยู่รูปลักษณ์ภายนอก แต่อยู่รายละเอียดงานวิศวกรรมที่ทำบุคลิกการขับขี่ต่างออกไปเป็นรถคนละรุ่นกันเลย แถมยังมีลูกเล่นภายในห้องโดยสารอีกประมาณหนึ่งติดตั้งเพิ่มเข้ามาให้เป็นของสมนาคุณให้กับคนที่กล้าจ่าย
แต่ก่อนจะไปถึงรายละเอียดงานวิศวกรรม เราจะพาคุณมาดูภายในห้องโดยสารกันก่อน…

***** ภายในห้องโดยสาร / Interior *****
เริ่มจาก ระบบกลอนประตู ทั้ง 2 รุ่น เป็นกุญแจรีโมท KEYLESS-GO พร้อมกุญแจลับ Wave Key ฝังตัวอยู่ด้านใน สำหรับใช้เป็นกุญแจสำรองในยามแบตเตอรี่หมด หรือใช้ล็อกกล่องเก็บของ (Glove Compartment) ตลอดจนปิดการทำงานของถุงลมนิรภัยฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า
กุญแจรีโมทของ GLA 200 มีหน้าตาคล้ายๆ กับ Mercedes-Benz ยุคปัจจุบันรุ่นอื่นๆ คือเป็นกรอบสีเงินตัดกับสีดำ ทว่ากุญแจรีโมทของ AMG GLA 35 จะพิเศษกว่าตรงที่ ด้านหลังของกุญแจจะเป็นกรอบสีดำเงา พร้อมสัญลักษณ์ AMG
เมื่อพกกุญแจไว้กับตัว แล้วเดินเข้าใกล้รถ คุณสามารถเอื้อมมือไปจับมือเปิดประตู เพื่อสั่งให้ระบบปลดล็อกประตูได้อัตโนมัติ ได้ทั้ง 4 บาน หากต้องการสั่งล็อก ก็แค่สัมผัสที่ช่อง 4 เหลี่ยมเล็กๆ ด้านข้างมือจับประตู หรือจะสั่งล็อก – ปลดล็อก โดยการกดปุ่มที่กุญแจรีโมทก็ได้เช่นกัน

ช่องทางเข้า – ออก กว้างกว่า GLA รุ่นที่แล้วพอสมควร ระยะห่างจากธรณีประตูจนถึงขอบประตูด้านบนสูงประมาณ 1 เมตร โอกาสที่หัวของคุณจะไปเฉี่ยวชนกับขอบประตูด้านบนขึ้นอยู่กับว่าความสูงของเบาะนั่งที่ปรับตั้งเอาไว้อยู่ที่ระดับใด หากปรับเบาะนั่งไว้ในตำแหน่งต่ำสุด การเข้าออกจากตัวรถนั้นจะง่ายดาย แถมสบาย Hair เอามากๆ ถึงกระนั้นก็ยังสะดวกไม่เท่า Volvo XC40 ที่มีเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ตั้งชันกว่าอยู่ดี
บานประตูส่วนบนเป็นวัสดุบุนุ่ม เดินตะเข็บด้ายสีแดง พนักวางแขนด้านข้างประตูมีการเสริมฟองน้ำมาให้เล็กน้อย แล้วหุ้มทับด้วยผ้า DYNAMICA Microfiber ตำแหน่งวางแขนอยู่ในระดับกำลังดี เมื่อคุณปรับเบาะนั่งลงไปในตำแหน่งต่ำสุด สามารถวางแขนได้สบายตั้งแต่ข้อศอกจรดปลายนิ้ว
รุ่น GLA 200 จะใช้ trim การตกแต่งเหนือมือจับเปิดประตูเป็นลายกราฟฟิกคาร์บอน Carbon-structure trim ทว่า AMG GLA 35 จะเป็นแบบ Light Longitudinal-grain Aluminum สีเงิน แบบเดียวกับ A200 Sedan AMG Dynamic แผงประตูส่วนล่าง เป็นพลาสติกขึ้นรูปกัดลาย มีช่องวางของมาให้ พร้อมกับลำโพง Sub-Bass 1 ตำแหน่ง

เบาะนั่งคู่หน้าของทั้ง 2 รุ่น มีรูปทรงเหมือนกัน หุ้มด้วยวัสดุหนังสีดำ แซมด้วย DYNAMICA Microfiber เดินตะเข็บด้ายสีแดง เหมือนกันทั้งคู่ ตัวเบาะสามารถปรับได้ด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง ทั้งเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง ปรับองศาการเอนพนักพิงหลัง ปรับระดับสูงต่ำเบาะรองนั่ง ทั้งแบบยกขึ้นทั้งตัว และยกขึ้นเฉพาะส่วนที่รองรับข้อพับหัวเข่า นอกจากนี้ยังมีหน่วยความจำตำแหน่งเบาะ Memory Seat มาให้ 3 ตำแหน่ง แต่เฉพาะเบาะนั่งฝั่งคนขับเท่านั้น ที่จะมีตัวปรับดันหลัง 4 ทิศทาง มาให้
พนักพิงหลัง ใช้ฟองน้ำแน่น เมื่อขึ้นไปนั่งแล้วให้ความรู้สึกว่าเบาะแข็ง แต่มีความนุ่มในระยะยุบช่วงแรกนิดเดียว ปีกเบาะด้านข้างสูงกำลังดี สามารถล็อกตัวผู้ขับขี่ไซส์กลางไม่ให้เหวี่ยงไปมาขณะเข้าโค้งได้ดีประมาณหนึ่ง และยังพอมีพื้นทึ่ซ้ายขวาพอให้ขยับตัวไปมาได้อีกเล็กน้อย ตัวปรับดันหลัง หรือ Lumbar Support สามารถปรับการดันเยอะเลยทีเดียว อีกทั้งยังเลือกปรับความสูงต่ำได้ จึงทำให้การรองรับแผ่นหลังทำได้เหมาะสมกับผู้ขับขี่ที่มีสรีระร่างกายแตกต่างกัน
พนักพิงศีรษะ ปรับระดับสูง ต่ำ ได้ และปรับองศาการดันหัวได้ ขึ้นรูปด้วยฟองน้ำที่แน่น แต่มีความนุ่มในช่วงยุบตัวช่วงแรกๆ ให้สัมผัสได้ จึงทำให้รู้สึกไม่ถึงกับแข็งมากเกินไป
เบาะรองนั่งสามารถปรับยกขึ้นทั้งตัว จากตำแหน่งเตี้ยสุด ราวๆ 2 นิ้ว หรือจะปรับให้เงยขึ้นเฉพาะส่วนที่รองรับข้อพับหัวเข่าก็ได้เช่นกัน ตัวเบาะรองนั่งมีความยาวพอประมาณ สามารถรองรับต้นขาได้เกือบถึงข้อพับ แต่ถ้ายืดส่วนขยายออกมาอีกราวๆ 1.5 นิ้ว ก็จะชนกับข้อพับพอดี ปีกด้านข้างถูกยกขึ้นมาให้สูงกว่าเบาะรองนั่งนิดหน่อย แต่ระยะห่างซ้ายขวาค่อนข้างแคบ จึงทำให้นั่งแล้วรู้สึกบีบช่วงสะโพกด้านล้างและด้านข้างต้นขาเล็กน้อย นอกจากนี้ ระยะสูงสุด – ต่ำสุด ที่ตัวเบาะสามารถปรับได้ มีมากถึง 2 นิ้ว ตามสไตล์รถ Crossover ดังนั้น จึงตอบโจทย์ได้ดีสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกหลากหลายไซส์
ภาพรวมของเบาะนั่งคู่หน้า นั่งแล้วค่อนข้างแข็ง กระชับลำตัวพอประมาณ ด้วยความที่ตัวเบาะนั้นสามารถปรับได้หลากหลายทิศทาง การปรับอิริยาบถท่านั่งขับทางไกลจึงไม่ค่อยมีปัญหาสักเท่าไหร่ ถ้าเทียบกันกับคู่แข่งแล้ว เบาะนั่งคู่หน้าของ GLA ทั้ง 2 รุ่น ถือว่าทำออกมาดีกว่า BMW X1 แต่ยังนั่งไม่สบายเท่ากับคู่แข่งอย่าง Volvo XC40 และ Lexus UX 250h

ช่องทางเข้า – ออก บานประตูคู่หลังเล็กกว่าและแคบกว่า GLA รุ่นเดิมชัดเจน แต่น่าแปลกว่า รูปทรงกรอบช่องประตูกลับเอื้ออำนวยต่อการเข้าไปนั่ง – ลุกออกมา จากตัวรถได้ไม่ยากเย็นนัก แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยช่วงกว้างของช่องประตูครึ่งท่อนล่าง ช่วงระยะห่างจากมุมเบาะรองนั่งถึงเสาหลังคาคู่กลาง ตีบแคบไปนิดนึง อาจจะทำให้การยกเท้าก้าวเข้าไปในรถลำบากสักหน่อย โดยเฉพาะสุภาพบุรุษผู้มีไซส์รองเท้าเกิน 42 ขึ้นไป
แผงประตูคู่หลังตกแต่งคล้ายแผงประตูคู่หน้า ส่วนบนเป็นวัสดบุนุ่ม หุ้มหนังสีดำ เดินตะเข็บด้ายแดง ส่วนพนักวางจะหุ้มด้วยผ้า DYNAMICA microfiber แต่ไม่มี trim ตกแต่ง Carbon-structure trim หรือ แบบ Light Longitudinal-grain Aluminum มาให้เหมือนด้านหน้า การวางแขนทำได้ไม่ถึงกับสบายนัก แม้ว่าแผงด้านข้างประตูจะมีพื้นที่กว้างพอสำหรับวางท่อนแขนได้ แต่ก็ต้องเลื่อนข้อศอกเยื้องไปทางด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ข้อศอกไปชนกับแผงพลาสติกที่ออกแบบเชื่อมกันระหว่างแผงประตูกับพนักพิงเบาะหลัง จะว่าไปแล้วปัญหานี้มันก็คล้ายกับ Honda Civic FC ที่เพิ่งตกรุ่นไปไม่มีผิด
ด้านล่างของแผงประตูคู่หลัง มีช่องติดตั้งลำโพง และมีช่องวางขวดน้ำขนาด 7 บาท 1 ตำแหน่งส่วนกระจกหน้าต่างคู่หลัง แม้ว่าจะเป็นแบบ Auto One-touch เหมือนกันกับคู่หน้า แต่ด้วยการออกแบบโครงสร้างบานประตู ทำให้ไม่สามารถเลื่อนลงมาจนสุดขอบล่างได้