• Movie 187
  • Movie 66
  • Sample Page
  • รีวิวหนังดี 294 – P1
  • รีวิวหนังดี 294 – P2
  • รีวิวหนังดี 294 – P3
reviewfilm.dailync91news.live
No Result
View All Result
No Result
View All Result
reviewfilm.dailync91news.live
No Result
View All Result

47. หนังดีมีทุกวัน

admin79 by admin79
April 10, 2025
in Uncategorized
0
47. หนังดีมีทุกวัน

ในอดีต เมื่อพูดถึงรถยนต์ Mercedes-Benz คนไทยส่วนใหญ่ จะนึกถึงกันแต่ บรรดารถยนต์ Sedan ระดับราคาแพงๆ จำพวก S-Class , หรือ ย่อมเยาลงมาหน่อยก็เป็นพวก E-Class ไปจนถึง C-Class ซึ่งรับบทบาทในฐานะ รถยนต์รุ่นขายดีที่สุดให้กับแบรนด์ตราดาว มาตั้งแต่ทศวรรษ 1990

หลังจาก ปี 1996 ซึ่ง Mercedes-Benz ตัดสินใจขยายทางเลือกรูปแบบรุ่นรถยนต์ ให้แตกหน่อต่อยอดออกไป อย่างไม่หยุดหย่อน โลกก็เริ่มรู้จักกับ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ ในรูปแบบตัวถัง และขนาดที่แตกต่างไปอย่างหลากหลายขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก ยิ่งทุกวันนี้ รถยนต์ในตระกูล SUV กลายมาเป็นรถยนต์ที่ทำรายได้ให้กับ Mercedes-Benz ได้เป็นกอบเป็นกำมากขึ้น

แน่นอนว่า มันเป็นผลมาจากความพยายามในการขยายทางเลือก เพื่อขยายตลาด ขยายฐานลูกค้า และโอกาสในการทำรายได้และผลกำไรเข้าบริษัท อันเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจ ผลก็คือ ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็เห็นแต่ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ ป้ายแดง เต็มถนนบ้านเราไปหมด

เพียงแต่ว่า การขยายทางเลือก ในกลุ่มระดับราคาต่ำกว่า C-Class นั้น Mercedes-Benz มองว่า เกิดขึ้น เพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ ที่เกิดและเติบโตขึ้นมาหลังจากยุค 1990 เพื่อหวังให้เป็น Mercedes-Benz คันแรก สำหรับหนุ่มสาวเหล่านั้น เป็นหลัก พวกเขา มองแค่ว่า เลือกทำรถยนต์ บนพื้นตัวถัง MFA Platform ทั้ง A-Class , CLA-Class รวมทั้ง GLA-Class และ GLB-Class ในขนาดตัวถังพอกันกับกลุ่ม C-Segment ในยุโรป ทั้ง เจ้าตลาด อย่าง Volkswagen ตระกูล Golf , Peugeot 308 , Renault Megane , Opel / Vauxhall Astra ฯลฯ แต่ ตั้งราคา Mark-up Price ขึ้นไปอีกนิดหน่อย เพียงเท่านี้ ก็ช่วยให้ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อย ขยับงบ เพิ่มขึ้นมาอุดหนุนรถยนต์ตราดาว ได้แล้ว

สถานการณ์ดังกล่าว ดูเหมือนว่าจะแตกต่างจากตลาดรถยนต์ในเมืองไทย อยู่นิดหน่อย

ต้องยอมรับว่า สำหรับลูกค้าในเมืองไทยแล้ว การมาถึงของรถยนต์ Premium ระดับราคาถูกลง แบบนี้ กลับเชื้อเชิญ เรียกแขก ให้ลูกค้าที่กำลังจะจ่ายเงินระดับ 1.8 ล้านบาท จนถึง 2 ล้านบาท กับรถยนต์ D-Segment จากญี่ปุ่น ให้เปลี่ยนใจ เพิ่มงบอีกนิด แล้วหันมาเล่นรถยนต์ Premium จาก ยุโรป เป็นคันแรกในชีวิต มากขึ้นอย่างผิดหูผิดตา

แนวโน้มดังกล่าว เกิดขึ้นมาจากแนวคิดของค่ายรถยนต์ระดับ Premium ที่เริ่มมองเห็นศักยภาพในการขยายตลาด ว่า ในเมื่อ ระดับราคาของ รถยนต์ Premium รุ่นเริ่มต้นเหล่านี้ ใกล้เคียงกับ ราคาของรถยนต์ D-Segment อย่าง Toyota Camry และ Honda Accord ดังนั้น ลูกค้าจำนวนไม่น้อย จึงเกิดความลังเลใจว่า จะอุดหนุน รถญี่ปุ่นคันใหญ่กว่า หรือรถยุโรป ระดับ Premium รุ่นเริ่มต้นจึงจะคุ้มค่ากว่ากัน ยิ่งลูกค้าชาวไทย ส่วนใหญ๋ ตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ โดยเอางบประมาณที่มี เป็นตัวตั้งต้น ก่อนจะมองไปที่ประเภทของรถยนต์ที่อยูในงบของตน (แทนที่จะเอาลักษณะการใช้งาน มาเป็นตัวกำหนด) ด้วยเหตุนี้ ลูกค้าจำนวนมาก ซึ่งอยากจะ เสริมสร้างภาพลักษณ์ให้ตนเองดูดีในหมู่เพื่อนฝูง ก็เบนเข็มหันมาตัดสินใจเลือกรถยุโรป ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะ เทรนด์ความนิยมรถยนต์ SUV ที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยากที่จะชะลอตัวลง ความต้องการรถยนต์ประเภทนี้จึงยังเพิ่มสูงขึ้นอยู่ได้อีกเรื่อยๆ

สำหรับ Mercedes-Benz แล้ว รถยนต์ ที่ทำให้ลูกค้าจำนวนไม่น้อย ตัดสินใจ Upgrade จากรถญี่ปุ่น ขึ้นมาอุดหนุน Mercedes-Benz ในลักษณะ First time buyers ได้มากสุด กลับไม่ใช่ A-Class หากแต่เป็น GLA-Class รุ่น X156 เดิม ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า ช่วงปี 2016 – 2017 เราพบเห็น GLA ใหม่ แล่นกันเต็มถนนในเขตกรุงเทพมหานคร และตามเมืองใหญ่ๆ กันเลยทีเดียว

มาถึงวันนี้ GLA ใหม่ออกสู่ตลาดได้พักใหญ่ แต่กลับ ไม่ค่อยพบเห็นบนท้องถนนมากเท่ากับคู่แข่งโดยอ้อม อย่าง BMW X1 ซึ่งหลายคนมองเรื่อง Option กับราคา เป็นหลัก แต่ถ้าเราไม่ได้มองแค่ประเด็นนี้เพียงอย่างเดียว หลายคนคงอยากรู้ว่า GLA มีอะไรที่ทำให้น่าจะนำมาอยู่ในตัวเลือกระหว่างการตัดสินใจได้บ้าง?

ผมกับพี่จิม นำ GLA ใหม่ ทั้ง 2 รุ่น คือ GLA 200 และ Mercedes AMG GLA 35 มาทดลองขับกันในช่วงเวลาต่างกัน และทำให้เราพบว่า จริงๆแล้ว GLA ใหม่ ดีขึ้นกว่ารถรุ่นเดิม ในแทบทุกด้าน เพียงแต่ว่า มันจะดีพอในสายตาของลูกค้าที่คิดจะมองหา Premium SUV ขนาดเล็กคันแรกในชีวิตมากน้อยแค่ไหน ผมจะพาคุณผู้อ่านไปหาคำตอบกัน

แต่ก่อนอื่น ตามธรรมเนียมของ Headlightmag เราคงต้องย้อนกลับไปดูจุดเริ่มต้น ของ GLA กันสักเล็กน้อย

Mercedes-Benz เริ่มมีแนวคิดที่จะสร้าง Crossover SUV ขึ้นบนแพลตฟอร์ม MFA (Modular Front-wheel Architecture Platform) เจเนอเรชันแรก อันเป็นพื้นฐานของรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้าขนาดเล็ก เพื่อเติมเต็มรถยนต์ตระกูล GL (Geländewagen) ให้ครบทุกขนาด และเพื่อตอบความต้องการของเหล่าบรรดาลูกค้าที่นิยมชมชอบรถใต้ท้องสูง หนีน้ำท่วม อันเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1995 และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ปล่อยให้คู่รักคู่แค้นแดนเทพนิยายอย่าง BMW สำราญเริงใจไปกับการกอบโกยผลกำไรจาก X1 โฉมแรก (E84) ที่รุดหน้าทำตลาดไปก่อน ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2009

แนวคิดดังกล่าว เริ่มเผยให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น เมื่อ Daimler AG ตัดสินใจยิงภาพ Teaser ชุดแรกของรถยนต์ต้นแบบ Mercedes-Benz Concept GLA ขึ้นบนสื่อ On-line เพื่อเป็นการหยั่งกระแสตอบรับ ก่อนจะนำไปโชว์ตัวครั้งแรกในโลก ตัดหน้าการมาถึงของ BMW X1 รุ่นปรับโฉม LCI ที่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ภายในงาน Shanghai Auto Show 2013 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 – 29 เมษายน 2013

จากนั้น เวอร์ชันจำหน่ายจริงของ Mercedes-Benz GLA รุ่นแรก ที่มาพร้อมรหัสตัวถัง X156 ก็ถูกเปิดตัวสู่สายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกในโลก ตามมาติดๆ เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2013 ที่งาน Frankfurt Motor Show 2013 ประเทศฝรั่งเศส ก่อนจะเริ่มเปิดให้สั่งจองในช่วงเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกัน แต่กว่าจะเริ่มส่งมอบรถคันแรกให้ลูกค้าได้ ก็ต้องรอจนถึงช่วงต้นปี 2014 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่ GLA เวอร์ชันอเมริกา และญี่ปุ่นเปิดตัวตามๆกันมา

GLA-Class รุ่นแรก (X156) มาพร้อมตัวถังภายนอกที่มีความยาว 4,443 มิลลิเมตร กว้าง 1,804 มิลลิเมตร สูง 1,483 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,700 มิลลิเมตร

ฝั่งบ้านเรา Mercedes-Benz (Thailand) เริ่มนำเข้า GLA เข้ามาจำหน่าย พร้อมจัดงานเปิดตัว ในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2014 ประเดิมตลาดด้วยรุ่นนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน GLA 200 Urban วางเครื่องยนต์รหัส M270 เบนซิน 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว ขนาด 1.6 ลิตร 1,595 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 73.7 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.3 :1 กำลังสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 5,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร (25.47 กก.-ม.) ที่ 1,250 – 4,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7G-DCT ติดป้าย ราคา ไว้ที่ 2,440,000 บาท

จากนั้น GLA รุ่นประกอบในประเทศ (SKD : Semi-knocked down) ถูกเปิดตัวตามออกมา ยั่วน้ำลายลูกค้าที่กำลังมองหารถญี่ปุ่นระดับราคา 1 ล้านกลาง ถึง 2 ล้านต้น เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2015 หั่นราคา GLA 200 Urban ลงมาเหลือ 2,090,000 บาท ทำตลาดควบคู่ไปกับรุ่นย่อยใหม่ อย่าง GLA 250 AMG Dynamic เครื่องยนต์ รหัส M270 เบนซิน 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว ขนาด 2.0 ลิตร 1,991 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.8 :1 กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,200 – 4,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7G-DCT ราคา 2,440,000 บาท เท่า GLA 200 Urban รุ่นนำเข้าเป๊ะ เล่นเอาลูกค้าที่ซื้อไปก่อนหน้านั้นเคืองไปตามๆ กัน (ปลายปี 2016 ปรับราคา GLA250 ลงเหลือ 2,390,000 บาท)

อีก 3 ปีต่อมา GLA รุ่นปรับโฉม Facelift ของ Global Version ก็ถูกส่งไปเปิดตัวที่งาน Detroit Motor Show ในเดือนมกราคม ปี 2017 มีการปรับดีไซน์เปลือกกันชนหน้า – หลัง ปรับรายละเอียดไฟหน้า – ไฟท้าย เพิ่มสีตัวถังภายนอก Canyon Beige และเพิ่มอุปกรณ์ความปลอดภัยเข้าไป อาทิ กล้องมองภาพรอบคัน ระบบเตือนการชนด้านหน้า Attention Assist และระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ Active Brake Assist เป็นต้น ส่วนเวอร์ชันไทยก็รีบปรับตามอย่างทันควัน เมื่อ 21 กรกฎาคม 2017 แต่ยังคงราคาจำหน่ายของ GLA ทั้ง 2 รุ่น เอาไว้เท่าเดิม เพื่อต่อกรกับ BMW X1 (F48) รุ่นใหม่ ในขณะนั้น โดยใช้เครื่องยนต์เดิม ทั้ง 2 แบบ

การมาถึงของ GLA เจเนอเรชันแรก ในคราวนั้น ถ้าเป็นภาษาวัยรุ่นแสลง เรียกว่า “ปัง” ทีเดียว การถอยห่างจากงานดีไซน์ภายนอกทรงกล่อง 4 เหลี่ยม ตลอดจนเส้นสายอันแข็งกร้าว แบบที่พบได้ใน SUV รุ่นพี่ ทั้ง GLK-Class, M-Class หรือแม้แต่ GL-Class หันมาเอาดีทางด้านความเฉี่ยว ความชิค เน้นสไตล์ รวมถึงการวางตำแหน่งให้เป็น Entry Level Model สำหรับคนที่มองหารถระดับ Premium คันแรกของชีวิต ล้วนแต่มีส่วนช่วยให้ GLA รุ่นแรก มียอดขายสะสมทั่วโลกแซงหน้า BMW X1 ไปอย่างขาวสะอาด

ถึงแม้ว่า GLA เจเนอเรชันแรก จะทำหน้าที่เรียกแขก (ที่แปลว่า ลูกค้า) ได้อย่างดี จนทำให้มียอดขายในภาพรวมทั่วทั้งโลก อยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ทำให้ไปไม่สุด เสียงจากลูกค้าอีกหลายราย ทั้งผู้ที่ซื้อไปแล้ว รวมถึงคนที่กำลังตัดสินใจอยู่ ต่างมองว่าดีไซน์ของ GLA รุ่นแรก ยังขาดมาด SUV อยู่ มองแล้วยังเป็นได้แค่ A-Class ที่ยกสูงขึ้นมานิดเดียว ดูไม่ฉีกจาก A-Class ปกติ เท่าที่ควร หนำซ้ำยังมีภายในห้องโดยสารที่ห่างไกลจากคำว่าสบายอยู่หลายหมื่นหลี้

Mr.Axel Heiz หัวหน้าทีมพัฒนารถยนต์ Compact Car ตลอดจนทีมวิศวกรผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสร้าง GLA รุ่นใหม่ ถึงกับต้องหยิบยกประเด็นเรื่องการออกแบบขึ้นมาพูดคุยกันอย่างจริงจัง จนเป็นเหตุผลที่ทำให้ GLA รุ่นปัจจุบัน เจเนอเรชันที่ 2 มีกลิ่นอายความเป็น SUV ทั่วไป ติดอยู่บนงานดีไซน์ภายนอกมากขึ้น

Mercedes-Benz GLA เจเนอเรชันที่ 2 รหัสตัวถัง W177 เป็นรถยนต์รุ่นที่ 8 และคาดว่าจะเป็นรุ่นสุดท้าย ที่ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม MFA2 (Modular Front-wheel Architecture Platform 2nd Generation) ตามแผนกลยุทธ์เพิ่มจำนวนสมาชิกในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็ก (Compact Car) เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าได้ที่หลากหลายมากขึ้นให้ได้ครบที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ และเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุดโดยเร็วต่อการลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ในแต่ละเจเนอเรชัน

รูปลักษณ์ภายนอก รังสรรค์ขึ้นจากปลายปากกานักออกแบบที่นำทีมโดย Mr.Gorden Wagener เป็นการนำปรัชญา Sensual Purity มาผสมกับกลิ่นอายของรถแนว Off-road ทำให้ภาพรวมดูฉีกไปจากรุ่นเดิมพอสมควร เห็นได้จากความสูงของแนวหลังคาที่เพิ่มขึ้นราวๆ 104 มิลลิเมตร รวมถึงกระจกหน้าต่างด้านข้างที่เปลี่ยนมาเป็นแบบ 6 Windows ตามแบบฉบับรถ SUV ทั่วๆ ไป

นอกจากนี้ การขยายมิติตัวรถ ทั้งความกว้าง ความสูง ตลอดจนยืดระยะฐานล้อออกไปอีก ยังช่วยให้ GLA ใหม่ มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้าง ปรอดโปร่ง มากขึ้นกว่ารุ่นเดิม แถมยังมีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายใหญ่โตขึ้นอีกเป็นกอง

อย่างไรก็ตาม แม้มิติตัวรถโดยรวมจะใหญ่โตโออ่าขึ้น แต่ความยาวจากปลายกันชนหน้าถึงกันชนหลังกลับสั้นลงกว่ารุ่นที่แล้ว เนื่องจากระยะ Overhang ทั้งด้านหน้าและด้านหลังถูกบีบให้สั้นลง เพื่อเพิ่มมุมไต่ (Approach Angle) และมุมจาก (Departure Angle) ในกรณีที่ต้องลุยทางวิบาก และคงไว้ซึ่งความกะทัดรัด ใช้งานได้อย่างคล่องตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่คนซื้อรถไซส์เล็กคาดหวังด้วยเช่นกัน

ส่วนใครก็ตามที่หวังว่าจะได้เห็นเวอร์ชันท้ายลาดตามออกมาในช่วงเวลาหลังจากนี้ ต้องขอแสดงความเสียใจด้วย ประเด็นนี้ Mr.Axel Heiz บอกกับนักข่าวสายยานยนต์ต่างประเทศ ว่าพวกเขาจะไม่ทำ GLA Coupe ออกมาอย่างแน่นอน เนื่องจากความต้องการรถประเภทนี้ไม่ได้เยอะนัก ที่สำคัญยอดขายของ BMW X2 (F39) ก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี อีกทั้งจะว่าไปแล้ว GLA รุ่นนี้ ก็เปรียบเสมือนเป็นตัวถัง Coupe ให้กับ Mercedes-Benz GLB-Class ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้โดยปริยาย อยู่แล้ว

Mercedes-Benz GLA เจเนอเรชันที่ 2 ถูกเปิดตัวครั้งแรกให้ชาวโลกได้ยลโฉมพร้อมกันสดๆ ในรูปแบบ Digital World Premier โดยมีบอสใหญ่คนใหม่แห่งอาณาจักร Daimler AG นามว่า Mr.Ola Kallenius และ Mr.Gorden Wagener หัวหน้าฝ่ายออกแบบ มากล่าวถึงแนวทางการพัฒนาและจุดเด่นของตัวรถสั้นๆ เพียง 15 นาที เท่านั้น เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2019 ก่อนเวอร์ชันขายจริง ซึ่งออกจากสายการผลิต ณ โรงงานใน Rastatt ประเทศเยอรมนี จะถูกส่งขึ้นโชว์รูมในประเทศแถบยุโรป ในช่วงต้นปี 2020 แล้วค่อยเริ่มทำตลาดในสหรัฐอเมริกา และขึ้นสายการผลิตใน จีน ตามลำดับ

ฝั่งบ้านเรา Mercedes-Benz (Thailand) ตัดสินใจนำ GLA ใหม่ มาขึ้นสายการประกอบ ณ โรงงานธนบุรีประกอบรถยนต์ (TAAP) ตั้งแต่ล็อตแรก ไม่ใช้วิธีการดั้งเดิมที่นำเข้ารุ่น CBU เข้ามาทำตลาดก่อนในช่วงแรก แบบรถยนต์รุ่นก่อนๆ พร้อมจัดอีเว้นท์เล็กๆ ให้นักข่าวสายยานยนต์ได้ยลโฉมรถคันจริงของ GLA ใหม่ แถมด้วย A-Class Sedan รุ่นประกอบในประเทศ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2020  ณ โรงแรม Four Season โดยเบื้องต้นจะมีเพียงรุ่นย่อยเดียวให้เลือกคือรหัส GLA 200 มาพร้อมกับการตกแต่งแบบ AMG Optical หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ AMG Dynamic สนนราคาจำหน่ายอยู่ที่ 2,399,000 บาท

หลังจากที่ GLA 200 AMG Dynamic ทำตลาดไปได้ระยะหนึ่ง ความพยายามอย่างยิ่งยวดของ Mercedes-Benz (ประเทศไทย) ในขยับขยายแบรนด์ ​AMG ให้โตอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้เวอร์ชันตัวแรงอย่าง Mercedes-AMG GLA 35 4MATIC ถูกส่งเข้ามาประกอบและทำตลาดในประเทศไทย เสริมทัพ Mercedes-AMG ในบ้านเราให้แข็งแกร่งขึ้น เอาใจลูกค้าผู้บูชาดวงดาวและรักความแรงแต่อยากเซฟเงินในกระเป๋า ครองตำแหน่งน้องนุชสุดท้องในตระกูล AMG ที่มีค่าเนื้อค่าตัวถูกที่สุดเป็นประวัติการณ์ ถูกกว่าอดีต Baby AMG อย่าง AMG CLA 35 รุ่น CBU อยู่ราวๆ 809,000 บาท เลยทีเดียว

ต่อมา วันที่ 13 กรกฎาคม 2021 Mercedes-Benz (ประเทศไทย) เพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับตระกูล GLA ด้วยการส่ง GLA 200 Progressive รุ่นย่อยถูกสุด ถอดลูกเล่นแพรวพราวบางอย่างทิ้งไป แต่ยังไม่ถึงกับโล้นน่าเกลียด แล้วกดราคาต่ำลงอีก 200,000 บาท เหลือ 2,199,000 บาท ออกสู่ตลาด ทว่าดาวที่ขาดความแพรวพราวดูเหมือนจะไม่ต้องตาต้องใจสาวกเท่าไหร่นัก ล่าสุด วันที่ 3 ธันวาคม 2021 จึงมีการปรับอุปกรณ์ให้กับ GLA (MY 2022) เริ่มจากการอัพเกรดหน้าจอกลางเป็นแบบ All Digital Instrument Display เป็น ขนาด 10.25 นิ้ว 2 ตลอดจนเพิ่มไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร Ambient Light 64 สี ให้กับรุ่น Pr0gressive รวมถึงเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยให้กับทั้งรุ่น Progressive และ AMG Dynamic อันประกอบด้วย

  • ระบบเปิด-ปิดฝาท้าย ด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชั่น Hand-free
  • ระบบแจ้งเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Assist
  • ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถแล่นเข้ามาด้านข้างขณะเปิดประตู Exit Warning
  • ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องจราจร Active Lane Keeping Assist
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist
  • แท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย Wireless Charger

แม้ว่าราคาค่าตัวของ GLA (MY 2022) จะเพิ่มขึ้น 131,000 บาท ในรุ่น Progressive และเพิ่มขึ้น 81,000 บาท สำหรับรุ่น AMG Dynamic แต่เมื่อเทียบกับสิ่งต่างๆ ที่ติดตั้งเพิ่มเข้ามาให้นั้นควรค่าแก่การจ่ายเงินเพิ่มพอสมควรโดยเฉพาะระบบความปลอดภัย และคาดว่าน่าจะช่วยเรียกลูกค้า เดินเข้าโชว์รูม Mercedes-Benz ทั้ง 35 แห่ง ทั่วประเทศได้เพิ่มอีกไม่น้อยเลยทีเดียว

Previous Post

N02 เพื่อที่จะหาเงินมารักษายายของเธอ เด็กสาวจึงเต็มใจที่จะนอนกับหมอตลอดเว ลา

Next Post

ผู้ช่วยสาวสุดเพี้ยนแกล้งทำเป็นท้องเพื่อแต่งงานกับผู้จัดการทั่วไปก็จบลง – ส่วนที่

Next Post
ผู้ช่วยสาวสุดเพี้ยนแกล้งทำเป็นท้องเพื่อแต่งงานกับผู้จัดการทั่วไปก็จบลง – ส่วนที่

ผู้ช่วยสาวสุดเพี้ยนแกล้งทำเป็นท้องเพื่อแต่งงานกับผู้จัดการทั่วไปก็จบลง - ส่วนที่

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N1606002_ภาพยนตร์โรแมนติกละครไทยที่ดีที่สุด 2024_part2
  • N1606004_เพราะเมียน้อยของเขา สามีจึงปฏิบัติต่อภรรยาอย่างเลวร้าย_part2
  • N1606005_หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจเมื่อสามีของเธอมีชู้_part2
  • N1606006_สามีขี้โกงลับหลังภรรยา บริษัทจะเป็นของใคร?_part2
  • N1606008_เด็กสาวช่วยชีวิตหลานชายของ CEO โดยไม่ได้ตั้งใจ_part2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.